วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำตนให้เป็นประโยชน์


ทำตนให้เป็นประโยชน์
จิตสำนึกสำคัญประการหนึ่งที่มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์คือ การรู้จักว่า ตนเป็นผู้มีประโยชน์ และมีความตั้งใจว่าจะทำตนให้เป็นประโยชน์ เมื่อใดก็ตามเราเริ่มมีความคิดในใจว่า ตัวเองไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ว่ากับตัวเองหรือบุคคลอื่น ทัศนคติเช่นนี้ถือว่าดูแคลนตัวเอง เราพิพากษาตัดสินตัวเองอย่างไม่ยุติธรรม การที่มีบางคนไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นตนเองมีประโยชน์อาจเกิดจากถูกเลี้ยงดูไม่ถูกต้องคือ ตั้งแต่เด็กถูกกระหน่ำด้วยคำพูดและท่าทีเป็นทางลบ บางคนระบายความคับแค้นใจลงใส่เด็กๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เมื่อโตขึ้นรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ หรืออาจเป็นเพราะความผิดหวังจากความรัก ผิดหวังที่สมัครงานไม่ได้สมประสงค์ เลยทำให้คิดว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ ไร้คุณค่า

ผมอยากให้ผู้ที่คิดว่าตนเองไม่มีประโยชน์หยุดคิดสักหน่อยและขอให้มองดูสิ่งต่างๆ รอบข้างเราด้วยใจปราศจากอคติและมีสติ แล้วถามตัวเองว่า มีอะไรบ้างจากสิ่งที่ตาเห็นว่าไม่มีประโยชน์และขาดคุณค่า แม้แต่กองขยะซึ่งเป็นของที่คนทิ้งไม่เอาก็ยังให้ประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย นานมาแล้ววงการแพทย์เคยคิดว่าไส้ติ่งในร่างกายมนุษย์ไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นทุกครั้งที่ผ่าตัดหมอจะแนะนำให้ตัดไส้ติ่งออกเสีย เหตุผลอาจจะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ได้พบแล้วว่า ไส้ติ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มากเพราะแบคทีเรียจะอาศัยอยู่ในไส้ติ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดี เมื่อใดเราเกิดท้องเสียตัวแบคทีเรียเหล่านี้จะออกมาช่วยแก้ท้องเสีย ฉะนั้นไส้ติ่งจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก

เรามีค่ามากกว่าสิ่งของทั้งหลาย ฉะนั้นจึงไม่ควรคิดสรุปง่ายๆ ว่าตนเองไร้ค่าไร้ประโยชน์ จากความคิดว่าตัวเองมีประโยชน์จะเป็นฐานสำหรับการสร้างคุณประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม ยิ่งมองเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ที่ตัวเองมีอยู่มากเท่าใด ก็จะเป็นฐานให้เราสร้างประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้เราเห็นคุณประโยชน์ในตัวเองมากเท่านั้น

แต่ละคนมีความรู้ ความสามารถ มีทุนทรัพย์ มีแรงกาย คำพูด และมันสมอง เราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ สร้างคุณสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้รอคอยความช่วยเหลือ หรือช่วยเพื่อนในยามยากลำบาก หรือในหมู่เพื่อนสมาชิกในคริสตจักร เราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เคยทำอะไรให้เกิดคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง ขณะที่เราเองได้รับประโยชน์จากคนอื่นตลอดเวลาไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึก ตัวก็ดี

อย่าเป็นบุคคลที่หวังประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว อย่าทำตัวให้เป็นคนไร้คุณค่า คุณมีคุณค่ามีประโยชน์ฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้ตั้งใจและหาโอกาสสร้างคุณประโยชน์ร่วมกัน

http://www.romyenchurch.org/messages/index.php?p=p_137&sName=-3607;-3635;-3605;-3609;-3651;-3627;-3657;-3648;-3611;-3655;-3609;-3611;-3619;-3632;-3650;-3618;-3594;-3609;-3660;

อาหารบำรุงสายตา

อาหารบำรุงสายตา
ความจำเป็นของสารอาหาร วิตามิน A นั้น มีผลต่อเซลล์ของจอตา (RETINA )
ในการแปรพลังงานแสงที่ได้รับให้เป็นสัญญาณสู่ระบบประสาทด้วย ซึ่งถ้าหากขาด
ไปการรับภาพของจอตาอาจจะเสื่อมลงได้ แหล่งอาหารที่มี วิตามิน A มาก พบได้
ในผลิตผลของสัตว์ เช่น ตับ , ไข่แดง , นม , น้ำมันสกัดจากตับปลา พืชที่มีสาร
ประกอบแคโรทีน ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามิน A เช่น พืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด
สีเหลือง ผักบุ้ง , มะละกอ , ฟักทอง ฯลฯ

ความต้องการของร่างกาย ( ใน 1 วัน )
• ทารก และเด็ก 1,500 หน่วยสากล
• เด็กวัยรุ่น 2,500 หน่วยสากล
• ผู้ใหญ่ 5,000 หน่วยสากล
• หญิงมีครรภ์ 6,000 หน่วยสากล
• หญิงให้นมบุตร 8,000 หน่วยสากล

ปริมาณวิตามิน A ในอาหาร 100 กรัม
ใบยอ 43,333 หน่วยสากล
ตับไก่ 32,200 หน่วยสากล
ใบแมงลัก 26,000 หน่วยสากล
ตับวัว 24,964 หน่วยสากล
ใบโหระพา 20,712 หน่วยสากล
ผักตำลึง 18,608 หน่วยสากล
แครอท 18,502หน่วยสากล
ปูทะเล 14,155 หน่วยสากล
ผักโขม 12,860 หน่วยสากล
ตับหมู 11,900 หน่วยสากล
ใบบัวบก 10,962 หน่วยสากล
ผักชะอม 10,066 หน่วยสากล
ผักคะน้า 9,300 หน่วยสากล
ผักกระทิน 7,883 หน่วยสากล
ไข่แดง 7,675 หน่วยสากล
พริกขี้หนู , พริกชี้ฟ้า 7,010หน่วยสากล
เนย 3,300 หน่วยสากล
มะม่วงสุก 2,580 หน่วยสากล

ที่มา: http://www.topcharoen.co.th/web/expert_detail.php?id=2



อาหารบำรุงสายตา

แพทย์แนะนำให้ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองรับประทานข้าวโพด ไข่ พริกไทย
ฟักทอง และองุ่นแดงให้มากขึ้น เพื่อรักษาสายตาที่เสื่อมลงตามวัยเพราะ
อาหารดังกล่าวอุดมด้วยสารลูตินและซีแซนติน เป็นสารประกอบทางเคมี
ที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ สามารถป้องกันความเสื่อมของจุดรับแสงในดวงตา
อันเป็นส่วนหนึ่งของเรตินา ช่วงก่อนนั้นแพทย์แนะนำให้รับประทานผักใบเขียว
เพื่อป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อดวงตา

ปัจจุบันวารสารจักษุวิทยาของอังกฤษระบุว่า ผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็เป็น
ประโยชน์ต่อสายตาทั้งนั้น เพราะจะไปเพิ่มสารลูตินและซีแซนตินให้แก่ร่างกาย
บรรดาแพทย์ยังกล่าวว่าไข่มีสารประกอบเคมีทั้งสองชนิดนี้มากที่สุดเมื่อเทียบเป็น
ร้อยละ ข้าวโพดเป็นผักที่มีสารลูตินมากที่สุด ในขณะที่พริกไทยมีสารซีแซนตินมากที่สุด

- ผักกระเฉดหน้าไก่

- แกงเลียงผักรวม

- ถั่วลันเตาผัดกุ้ง

ที่มา: http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-4762.html

วิธีป้องกันอันตรายจากการเล่นน้ำตกและล่องแก่ง

ปภ. แนะวิธีป้องกันอันตรายจากการเล่นน้ำตกและล่องแก่ง

ในช่วงฤดูฝน นอกจากนักท่องเที่ยวจะนิยมเดินทางไปเที่ยวป่าเพื่อชมความงามของผืนป่าแล้ว กิจกรรมอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ได้แก่ การเล่นน้ำตก และ การล่องแก่ง เพราะเป็นช่วงที่ผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด และมีปริมาณน้ำมากเพียงพอที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวได้

แต่ขณะเดียวกันช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม นักท่องเที่ยวจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเล่นน้ำตกและล่องแก่งช่วงฤดูฝนเป็นพิเศษ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ขอแนะวิธีเล่นน้ำตกและล่องแก่งอย่างปลอดภัย ดังนี้...

การเล่นน้ำตก

ก่อนเล่นน้ำตก

ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เส้นทางการเดินทาง สภาพน้ำตก โดยเลือกเที่ยวน้ำตกที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน รวมถึงสภาพพื้นที่และสภาพอากาศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและกรมอุตุนิยมวิทยา อีกทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด

ขณะเล่นน้ำตก

- ไม่ลงเล่นน้ำในเขตหวงห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะอาจได้รับอันตรายจากน้ำวนหรือกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
- ไม่ปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผา น้ำตกหรือบริเวณที่เปียกลื่น
- ไม่เล่นหยอกล้อบริเวณพื้นที่อันตราย เช่น แอ่งน้ำวน น้ำลึกหรือที่ลาดชันก่อนถึงผาน้ำตก เพราะอาจพลัดตกจนได้รับบาดเจ็บ
- ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกน้ำหรืออยู่ในน้ำที่เย็นนานเกินไป เพราะอาจเป็นตะคริวจมน้ำเสียชีวิต
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะหากพลัดตกลงน้ำจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งขวดหรือแก้วน้ำที่แตก จะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวรายอื่นด้วย
- หมั่นสังเกตลักษณะของสายน้ำในน้ำตก หากพบว่าระดับน้ำสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเปลี่ยนสี และมีเสียงดังผิดปกติ ให้รีบขึ้นจากน้ำและไปยังพื้นที่ปลอดภัยทันที เพราะอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้




ล่องแก่ง




การล่องแก่ง

ก่อนล่องแก่ง

ควรตรวจสอบข้อมูลสถานที่ล่องแก่งจากเจ้าหน้าที่อุทยาน และสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อจะได้วางแผนการล่องแก่งได้อย่างเหมาะสม ศึกษาข้อปฏิบัติในการเล่นและข้อตกลงต่างๆ อย่างละเอียด เช่น การประกันภัย เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ตลอดจนศึกษาลักษณะการไหลของน้ำ ซึ่งมี 2 ประเภท ได้แก่ แบบแก่ง น้ำจะไหลเร็วและแรง กับแบบแอ่ง น้ำจะไหลช้าแต่มีความลึก และศึกษาเส้นทางลำน้ำและกระแสน้ำ อีกทั้งฝึกซ้อมการพายเรือ การถ่อเรือและการนั่งทรงตัวในเรือให้ชำนาญ สวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าแบบลำลอง เช่น กางเกงขาสั้น เนื้อผ้าไม่อุ้มน้ำ แห้งง่าย รองเท้าที่มีสายรัดข้อเท้า และสวมหมวกนิรภัยและเสื้อชูชีพให้เรียบร้อยก่อนลงเรือ

ขณะล่องแก่ง

- ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงการล่องแก่งในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลแรงและลึก เนื่องจากหินใต้น้ำและผิวน้ำจะทำให้เกิดคลื่นน้อยใหญ่ และม้วนเป็นวงอย่างแรงจนทำให้เรือล่มได้
- ไม่เล่นล่องแก่งบริเวณที่มีน้ำไหลตกจากที่สูงและไม่พายเรือเข้าไปบริเวณใต้ต้นไม้ที่มีลักษณะรากลอย เพราะจะยิ่งเพิ่มอันตรายให้กับผู้เล่นมากขึ้น
- กรณีที่พลัดตกจากเรือ ให้ว่ายน้ำเข้าหาเรือหรือฝั่งโดยเร็วที่สุด ถ้าว่ายน้ำไม่เป็น ให้พยายามลอยตัวเหนือน้ำในท่านอนหงาย ยกขาทั้งสองข้างขึ้น เสื้อชูชีพจะช่วยพยุงตัวให้ลอยขึ้นจากน้ำ หากกระแสน้ำไหลรุนแรง ให้ใช้ไม้พายยันเพื่อชะลอความเร็ว และป้องกันการกระแทกกับแก่งหินบริเวณนั้น เพื่อให้การเล่นน้ำตกและล่องแก่งเป็นไปอย่างปลอดภัย
- นักท่องเที่ยวควรเตรียมความพร้อมด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแหล่งท่องเที่ยวและสภาพอากาศ ลักษณะของสายน้ำอย่างละเอียด เพื่อจะได้วางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม หากพบสิ่งผิดปกติของกระแสน้ำให้รีบขึ้นจากน้ำและไปยังพื้นที่ปลอดภัยในทันที
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายจากการท่องเทียวน้ำตกและล่องแก่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


http://www.vcharkarn.com/varticle/39284

การรักษาแผลสดจากอุบัติเหตุ


การรักษาแผลสดจากอุบัติเหตุ

ของที่ควรพกไปเมื่อไปเที่ยวทางไกล
1.ยากิน : ยาแก้แพ้ : Loratadine 1แผง ไว้ใช้ แก้แพ้ทุกชนิด แก้คัน และแก้หวัดได้ กิน1-2 เม็ด วันละครั้ง เวลาไหนก็ได้
ยาแก้ท้องเสีย : Norfloxacin(400mg) กิน 1เม็ดวันละ2ครั้งหลังอาหาร ใช้แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้ออื่นๆได้ด้วย
Loperamide ทำให้หยุดถ่าย 1เม็ดทุก 4ชม. หยุดถ่ายให้หยุดกิน
ยาแก้ปวดแก้ไข้ : Paracetamol(500mg) กินได้ 2เม็ดทุก4ชม.
ยาแก้เมารถ : Dimenhydrinate กิน 1เม็ดทุก6ชม. แก้อาเจียนได้ด้วย ใครรู้ตัวว่าเมารถ กินครึ่งชม.ก่อนเดินทาง
2.ยาทา : Ammonia : ใช้ดมเวลาจะเป็นลม และ ทาแผลเมื่อถูกแมงกระพรุน ไปทะเลต้องพกไปนะ
Betadine : ใช้ใส่แผลสดทุกชนิด
3.ผ้าพันแผล(แบบยืดได้ Dura)
Plaster (Transpore ) & Plasterยา
Sofra-tulle (เป็นผ้าตาข่ายใส่ยาฆ่าเชื้อ และเคลือบParafin ไว้ทำให้ไม่ติดแผลเวลาลอกออก ต้องเปลี่ยนทุกวัน)
เทียนไข หรือ ดินน้ำมัน เอาคลึงที่แผลที่ถูกเหล็กไนจะเอาออกมาได้ รวมถึงแมงกะพรุนด้วย
การรักษาแผลสด
ถ้าจะไปโรงพยาบาล ห้ามใส่อะไรทั้งนั้น ให้ห้ามเลือดโดยพันแผลหรือกดไว้ด้วยผ้าสะอาดที่สุดที่หาได้ อย่าเช็ดแผล เพราะจะเช็ดเอาclot ที่อุดห้ามเลือดออก ทำให้เลือดออกอีก
โดยเฉพาะใส้บุหรี่ มันห้ามเลือดได้จริง แต่เอาออกให้หมดยากมาก (สงสารหมอหน่อยครับ) และถ้ามันค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว มันจะเป็นสารแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย แผลคุณจะเป็นหนองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าผ่าเอาออกหมด (ทุกครั้งที่เจอแบบนี้นั่งคีบไปด่าคนแนะนำไป)
ถ้าโดนสัตว์กัด ให้ล้างและฟอกแผลด้วยสบู่ เพื่อลดเชื้อพิษสุนัขบ้า(ถ้ามี) แล้วห้ามเลือด รีบไปพบหมอ
ถ้าไม่ต้องไปหาหมอ –แผลสะอาดอยู่แล้ว ให้ทา Betadine ปิดด้วย Sofra-tulle(ตัดเป็นชิ้นขนาดพับครึ่งแล้วปิดแผลได้ อย่าลืมลอกเอากระดาษไขออกด้วย ใช้แต่ตัวตาข่ายนะ เปลี่ยนทุกวัน)
ปิดทับด้วยผ้าพันแผล ทำแผลวันละครั้ง โดยทา Betadine แล้วปิดแผลแบบเดิม
ถ้าแผลสกปรก ให้ล้างน้ำเปล่าที่สะอาดที่สุด(น้ำPolarisที่กินนั่นแหละ) ซับให้แห้งห้ามเช็ด เลือดจะออก แล้วทา Betadine แล้วปิดแผล แบบข้อก่อน
ถ้าเป็นแผลถลอก ทำแบบ2ข้อข้างบน แต่อย่าปิดแผล เปิดไว้จะตกสะเก็ดใน2-5วันแผลหายเร็วกว่า ถ้าอยู่ระหว่างเดินทางอาจปิดแผลไว้ก่อน แต่ถึงบ้านให้ รีบเปิดทันที
สิ่งที่ห้ามใช้กับแผล ทั้งหมดนี้ทางการแพทย์เราไม่ใช้แล้ว (แต่ยังมีขายอยู่ ไม่รู้มี สธ.ไว้ทำไม) พวกนี้คือจำเลย ที่ทำให้แผลไม่หายและลุกลาม
Hydrogen Peroxide(ผู้ร้ายหมายเลข1) ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ Ointmentทั้งหลาย Chloram ผงวิเศษ บัวหิมะ ยาเส้น Alchol

EDIT : เพิ่มเติมผลเสียของแต่ละตัวครับ เป็นสิ่งที่ผมพบจริงๆมาเกือบ30ปี แผลเล็กน้อยที่รักษานานแล้วยังไม่หาย และลามมากขึ้น มาจากการใช้ยาพวกนี้ทั้งนั้น
Hydrogen Peroxide : มันฆ่าเชื้อโรคได้ก็จริง แต่ก็ฆ่าcellด้วย แผลเย็บตัดไหมแผลจะไม่ติดแบะออก เพราะมันซึมลงในแผล กัดเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นเชื่อมแผล แผลถลอกก็จะขยายใหญ่ขึ้น ขอบแผลนูนเป็นสัน
Alcohol : ไม่ใช้ใส่ในตัวแผล แต่ใช้เช็ดฆ่าเชื้อ ที่ผิวปกติ ข้างๆแผล
Tincture Iodine : ฆ่าเชื้อได้ดีที่สุดก็จริง แต่มันจะทำลายเนื้อเยื่อของเราด้วย
ยาเหล์อง และยาแดง : ฆ่าเชื้อได้ไม่ดีนัก และจะจับเป็นผลึกอยู่บนแผล ข้างใต้เป็นที่สะสมเชื้อโรคอีกด้วย
Chloramผง(ถอดcapsuleมาโรย) : เป็นการใช้ยาผิดroute(ไม่รู้จะแปลยังไง) เขาทำไว้ให้กิน จึงไม่ได้ผล และอาจกระตุ้นให้แพ้ chloramด้วย
Ointmentทั้งหลาย : พบว่าไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรค และยังกระตุ้นให้แพ้ยากินด้วย
Gentamycin cream ฆ่าเชื้อได้จริง แต่ไม่ควรใช้ในแผลสด ใช้ทาที่หัวฝีร่วมกับยากินจะได้ผลดี
ผงวิเศษ และผงอื่นๆ : ฆ่าเชื้อไม่ได้ ในช่วงแรกที่ดูดีขึ้น เพราะมันเป็นผงแป้ง จึงดูดน้ำจากBacteriaทำให้ตาย และยังดูดซับน้ำเหลืองด้วย แผลจึงดูแห้ง แต่ไม่นานมันจะจับเป็นแผ่นคลุมบนแผล เป็นที่อยู่และอาหารเลี้ยงเชื้อโรค เพราะเป็นcarbohydrate แผลจะแย่ขึ้น ใส่แป้งมันก็มีผลเช่นกันครับ
ยาเส้น : ชาวบ้านใช้ห้ามเลือด ได้ผล แต่ ถ้าเก็บออกไม่หมดค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว แผลจะเป็นหนองขึ้นมาเรื่อยๆ จนผ่าเอาออกจึงหาย ของอื่นทุกชนิดที่ค้างอยู่ในเนื้อก็มีผลแบบเดียวกัน
สำลีไม่ควรใช้กับแผลเพราะเส้นใยอาจตกค้างอยู่ในแผล เกิดผลแบบเดียวกัน ให้ใช้เป็นcotton bud จะดีกว่า และห้ามปิดแผลด้วยสำลี เพราะเหตุผลเดียวกัน


http://cliniconweb.blogspot.com/2008/03/blog-post.html

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาคิชฌกูฏ

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาคิชฌกูฏ

เขาคิชฌกูฏ ตั้งชื่อตาม เขาคิชฌกูฏ ที่ในสมัยพุทธกาลเป็นที่ตั้งกุฏิของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่กรุงราชคฤห์แคว้นมคธเป็นยอดเขาที่มีแนวเขาล้อมโดยรอบ เพราะสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงและบนยอดเขามีสิ่งศกดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ คือ รอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตร ที่ตั้งข้างรอยพระพุทธบาท อยู่ในลักษณะคล้ายลอยอยู่ริมลานพระพุทธบาทฝั่งตรงข้ามหินลูกบาตรมีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ และในหินก้อนนี้ ตรงข้ามกันรอยพระหัตถ์ มีรูปรอยเท้าใหญ่ (รอยเท้าพญามาร) ใต้พระบาทมีถ้ำตาฤาษี
พระครูธรรมสรคุณ (ท่านพ่อเขียน) ได้สอนว่า “เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจ อธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคนและเป็รสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป”
ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปราถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสขตามสมบูรณ์พูลผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป


http://cid-d0b69ec5b047a2ab.photos.live.com/self.aspx/%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%8c%e0%b8%81%e0%b8%b9%e0%b8%8e/IMG%5E_1052.jpg

ตำนานพญานาค

ตำนานพญานาค

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
* พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
* .พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคาย พิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
* พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
* พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=96.0

แม่น้ำปิง

แม่น้ำปิง เกิดจากดอยเชียงดาว ดอยอินทนนท์ ดอยขุนอัน และเทือกเขาขุนตาล ไหลผ่านอำเภอเชียงดาว แม่แตง อำเภอเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ตาก กำแพงเพชร และ รวมกับแม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน กลายเป็น แม่น้ำเจ้าพระยา

ต้นกำเนิดแม่น้ำปิง
แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำ ในพื้นที่ เขตอำเภอเชียงดาว จังหวัด เชียงใหม่ ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย และน้ำแม่แตงไหลมาบรรจบทางฝั่งขวา เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้าย และจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้ มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวา ที่อำเภอฮอด ก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

แม่น้ำปิงตอนล่างใต้เขื่อนภูมิพล จะไหลผ่านที่ราบลุ่มมาบรรจบกับแม่น้ำวัง ไหลผ่านจังหวัดกำแพงเพชร ไปบรรจบกับแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ รวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา สายเลือดใหญ่ของประเทศไทย ลุ่มน้ำปิงและลุ่มน้ำสาขาครอบคลุม พื้นที่ประมาณ 33,989 ตารางกิโลเมตร ความยาวลำน้ำประมาณ 740 กิโลเมตร ปัจจุบันประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ ประมาณ 25 เขื่อน เขื่อนที่สำคัญสร้างปิดแม่น้ำปิงมีจำนวน 4 เขื่อนด้วยกันคือ เขื่อนแม่แตง เขื่อนแม่งัด เขื่อนแม่กวง และเขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำสายนี้








เขื่อนที่กั้นแม่น้ำปิง
แม่น้ำปิงมีเขื่อนที่สำคัญกั้นลำน้ำสายนี้ 4 เขื่อน คือ

เขื่อนแม่แตง
เขื่อนแม่งัด
เขื่อนแม่กวง
เขื่อนภูมิพล







สภาพและปัญหาของแม่น้ำปิงในปัจจุบัน
แม่น้ำปิงเป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้เป็นสิ่งสาธารณูปโภคของชาว เชียงใหม่มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยมีต้นกำเนิดของแม่น้ำที่ อ.เชียงดาว ในสภาพปัจจุบันเห็นได้ว่ามีการทิ้งของเสีย,การถมที่,และการสร้าง อาคารร้านค้าลุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำปิงซึ่งหากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปจะทำให้น้ำปิงเน่าเสียเชียงใหม่ก็จะประสบปัญหาขาดน้ำดื่มน้ำใช้อย่างรุนแรง ที่สุด ยังไม่นับผลเสียที่ร้ายแรงอีกหลายข้อที่จะตามมาต่อเราและลูกหลานของเราในอนาคต

แม่น้ำปิง มีปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับในอดีต
แม่น้ำปิง สกปรก และเน่าเสีย ที่สำคัญเกิดจากทิ้งของเสีย ลงในแม่น้ำ
มีการถมที่ริมฝั่งแม่น้ำทั้งด้าน ทำให้แม่ปิงหดแคบเข้าไปครึ่งหนึ่ง
มีการสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างลุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำ
มีการดูดน้ำแม่ปิง ขึ้นไปใช้อย่างมาก เช่น กิจการร้านอาหาร โรงแรม คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ
แม่น้ำปิง เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลอยู่ในหุบเขา ระหว่างทิวเขาถนนธงชัยกลางกับทิวเขาผีปันน้ำตะวันตก มีต้นน้ำอยู่ที่ดอยถ้วย ในเทือกเขาแดนลาวในเขตตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไหลลงมาทางใต้ ผ่านเข้าเขตจังหวัดลำพูนที่ อำเภอเมืองลำพูน จากจุดนี้ลงไปแม่น้ำปิง เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ กับจังหวัดลำพูน ลงไปทางใต้ของอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะทาง ประมาณ 70 กิโลเมตร มีลำน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง คือ แม่น้ำกวง แม่น้ำลี้ ห้วยแม่หาด และแม่น้ำก้อ แม่น้ำปิง มีพื้นที่รับน้ำ ประมาณ 6,360 ตร.กม




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- วิกิพีเดีย

- โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย

Retrieved from "http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%87"