วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

กรุงเทพ

ประวัติกรุงเทพ
ความหมายของตราประจำจังหวัด
รูปปราสาทพระที่นั่งจักรีมีหน้าบันปราสาท เป็นเครื่องหมายพุทธศิลป์ องค์ปราสาทแสดงว่าเป็นราชธานี และเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมของไทยประวัติ
กรุงเทพฯ หรือ บางกอก เมืองหลวงของประเทศไทย เริ่มก่อตั้งภายหลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอฟ้าจุฬาโลก ทรงครองราชย์ปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน เดือนห้า แรม 9 ค่ำ ปีขาล พ.ศ.2325 พระองค์ได้โปรดฯ ให้สร้างพระราชวั งทางคุ้งแม่น้ำฟากตะวันออก เนื่องจากเป็นชัยภูมิที่ดีกว่ากรุงธนบุรี เพราะมีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแนวคูเมืองทางด้านตะวันตก และด้านใต้
อาณาเขตของกรุงเทพฯ ในชั้นแรกถือเอาแนวคูเมืองเดิมฝั่งตะวันออกของกรุงธนบุรี คือ แนวคลองหลอด ตั้งแต่ปากคลองตลาดจนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้า เป็นบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ มีพื้นที่ประมาณ 1.8 ตารางกิโลเมตร บริเวณที่สร้างพระราชวังนั้น เดิมเป็นที่อยู่อาศัยของพระยาราชเศรษฐี และชาวจีน ซึ่งได้โปรดให้ย้ายไปอยู่ที่สำเพ็ง ในการก่อสร้างพระราชวัง โปรดให้พระยาธรรมาธิบดี กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมการก่อสร้าง ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้ น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที (21 เมษายน 2325) พระราชวังแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2328 จึงได้จัดให้มีพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบแผนรวมทั้งงานฉลองพระนคร โดยพระราชทานนามพระนครใหม่ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานี บุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยว ิษณุกรรมประสิทธิ์" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนคำว่า "บวรรัตนโกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์" และในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รวมจังหวัดธนบุรีเข้าไว้ด้วยกับกรุงเทพฯ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น "กรุงเทพมหานคร" เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515
กรุงเทพฯ มีเนื้อที่ 1,565.2 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น 36 เขต (อำเภอ) คือ พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย ปทุมวัน สัมพันธวงศ์ บางรัก ยานนาวา สาธร บางซื่อ ดุสิต พญาไท ราชเทวี บางคอแหลม ห้วยขวาง พระโขนง ประเวศ คลองเตย บางเขน บางกะปิ บึงกุ่ม ลาดพร้าว จตุจักร ดอนเมือง หนองจอก มีนบุรี ลาดกระบัง ธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางพลัด บางกอกใหญ่ ภาษีเจริญ บางขุนเทียน ตลิ่งชัน จอมทอง ราษฎร์บูรณะ หนองแขม


เขียนโดย keng tharit ที่ 7:22
http://keng-tharit4.blogspot.com/2008/06/blog-post.html

จังหวัดขอนแก่น

พระธาตุขามแก่น เสียงแคนดอกคูน ศูนย์รวมผ้าไหม ร่วมใจผูกเสี่ยว
เที่ยวขอนแก่นนครใหญ่ ไดโนเสาร์สิรินธรเน่ สุดเท่เหรียญทองมวยโอลิมปิก
ข้อมูลทั่วไป :

ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ตรงกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ และมนุษยวิทยา ว่าอาณาเขต จังหวัดขอนแก่น เคยเป็นดินแดน ที่มีผู้คนอาศัย ตั้งบ้านเรือน อยู่เจริญรุ่งเรือง มีอารยธรรมสูงส่ง มาก่อนสมัยประวัติศาสตร์ และคาบเกี่ยวกับ สมัยประวัติศาสตร์ ทำให้ขอนแก่น เป็นเมืองที่มีมรดกทางวัฒนธรรม ของชนชาติโบราณมากมาย ดังปรากฏ ร่องรอยให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ภาพเขียนสี ที่ถ้ำฝ่ามือแดง อำเภอภูเวียง เมืองโบราณ สมัยทวาราวดี ที่อำเภอชุมแพ เสมาหิน ที่เมืองชัยวาน อำเภอมัญจาคีรี และศาสนสถาน สมัยขอม ที่อำเภอเปือยน้อย จัดเป็นปราสาทหิน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ที่พบในจังหวัดขอนแก่น และอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก

ปัจจุบันขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางการท่องเที่ยว ทั้งทางธรรมชาติ และโบราณสถานมากมาย มีความเจริญรุ่งเรือง ในด้านต่างๆ เป็นศูนย์กลางทางการศึกษา คือ เป็นที่ตั้ง ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีวัฒนธรรม และประเพณีต่างๆ มีผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว และผู้มาเยือน เช่น ผ้าไหมมัดหมี่ที่อำเภอชนบท นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและสะดวกในการคมนาคมตลอดปี

ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในอำเภอเมือง รถโดยสารประจำทาง วิ่งบริการหลายสาย มีที่พักบริการ หลายระดับ ตั้งแต่ห้องพักราคาย่อมเยาว์ ไปจนถึงโรงแรมระดับห้าดาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัย ที่ส่งเสริมศักยภาพ ทางการท่องเที่ยว ด้วย ขอนแก่นมีพื้นที่ประมาณ 10,885 ตารางกิโลเมตร

ประวัติความเป็นมา :
หากจะอ้างถึงประวัติ ของจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเริ่มก่อตั้งเป็นเมือง มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 อายุเพียงแค่สองร้อยกว่าปี ก็คงจะกล่าวไม่ได้ว่า เป็นเมืองเก่า แต่ที่จริงแล้ว ดินแดนบนที่ราบสูงแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์ ที่ยาวนานมาก ไม่ว่าจะเป็นทางธรรมชาติ หรือทางอารยธรรม ดังที่มีการค้นพบซากสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ อายุนับล้านปี พบชุมชนเมืองโบราณ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หลายแห่ง ตลอดจนปราสาทขอม สมัยพุทธศตวรรษที่ 18 ด้วยอารยธรรม ที่สั่งสมมา ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งที่พบที่นี่ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม ประเพณี โบราณสถานต่างๆ จึงล้วนเป็นส่วนหนึ่ง ที่สะท้อนให้ทราบความเป็นมาของคนไทยและชาติไทย

การเดินทาง :
ทางรถยนต์

ขอนแก่นอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปตามทางรถยนต์ 449 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงจังหวัดสระบุรี ตรงหลักกิโลเมตรที่ 107 แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมาถึงจังหวัดขอนแก่น

อีกเส้นทางหนึ่ง เมื่อถึงสระบุรีแล้วตรงไปตามถนนสระบุรี-ลำนารายณ์ แยกขวาเข้าเส้นทางม่วงค่อม-ด่านขุนทด-ชัยภูมิ-ขอนแก่น หรือสระบุรี-อำเภอลำนารายณ์-อำเภอเทพสถิต-ชัยภูมิ-อำเภอมัญจาคีรี-อำเภอพระยืน-ขอนแก่น

ทางรถไฟ

ขบวนรถไฟออกจากสถานีกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ผ่านจังหวัดขอนแก่น ไปจังหวัดอุดรธานี และหนองคายทุกวัน รถที่ให้บริการมีทั้งรถเร็ว รถด่วน และรถด่วนดีเซลรางปรับอากาศ สอบถามรายละเอียดได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690, 0 2223 7010,0 2223 7020 สถานีรถไฟขอนแก่น โทร. 0 4322 1112 www.railway.co.th

ทางรถโดยสารประจำทาง

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง รถออกจากสถานีขนส่งสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หมอชิต 2 ) มีรถโดยสารธรรมดา รถปรับอากาศ และรถนอนพิเศษชนิด 24 ที่นั่ง วิ่งบริการทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร.0 2936 2852-66 สถานีขนส่งขอนแก่น (รถธรรมดา) 0 4323 7472 สถานีรถปรับอากาศ 0 43 23 9910 www.transport.co.th

ทางรถโดยสารประจำทางระหว่างประเทศ

บริษัทขนส่งจำกัด และรัฐวิสาหกิจรถเมล์นครหลวงเวียงจันทน์ ร่วมเปิดเส้นทางเดินรถระหว่าง ขอนแก่น-นครหลวงเวียงจันทน์ โดบจัดรถปรับอากาศมาตรฐาน 45 ที่นั่ง ให้บริการ 2 เที่ยวต่อวัน มีต้นทางและปลายทางที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดขอนแก่น แห่งที่ 2 และ สถานีรถเมล์ขนส่งผู้โดยสารตลาดเช้า นครหลวงเวียงจันทน์ โดยไม่มีจุดจอดระหว่างทาง

ตารางเดินรถระหว่างประเทศเส้นทาง ขอนแก่น-เวียงจันทน์



เวลาเดินรถ
ขอนแก่น

เวลาเดินรถ
นครเวียงจันทน์

ระยะเวลาเดินทาง

ราคาค่าโดยสาร

เที่ยวแรก

08.15 น.

08.15 น.

4 ชั่วโมง

180 บาท/50,000 กีบ

เที่ยวสอง

14.15 น.

14.15 น.

4 ชั่วโมง

180 บาท/50,000 กีบ

ทางเครื่องบิน

บมจ. การบินไทย เปิดบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่ บมจ. การบินไทย โทร. 1566,0 2628 2000 www.thaiairways.com และ สำนักงานขอนแก่น โทร.0 4322 7701-5 หรือสายการบินไทย แอร์ เอเชีย โทร.0 2515 9999 www.airasia.com

การคมนาคมภายในตัวจังหวัด จ.ขอนแก่น

มีบริการรถโดยสารให้เลือกหลายประเภท ได้แก่ รถตุ๊กๆค่าโดยสารเริ่มต้นที่ราคา 30 บาท สามล้อปั่นราคาเริ่มต้นคือ 20 บาท ส่วนใหญ่จะวิ่งบริการภายในตัวเมืองและเขตเทศบาล

รถโดยสารประจำทางขนาดเล็กวิ่งบริการในเขตเมืองขอนแก่นหลายสาย มีทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ นอกจากนั้นยังมีรถโดยสารวิ่งระหว่างอำเภอเมืองขอนแก่นไปยังอำเภอต่างๆ ตลอดวัน

การเดินทางจากอำเภอเมืองขอนแก่นไปยังอำเภอต่าง ๆ

อำเภอเมือง - กิโลเมตร
อำเภอบ้านแฮด 18 กิโลเมตร
อำเภอบ้านฝาง 22 กิโลเมตร
อำเภอพระยืน 30 กิโลเมตร
อำเภอซำสูง 39 กิโลเมตร
อำเภอน้ำพอง 43 กิโลเมตร
อำเภอบ้านไผ 44 กิโลเมตร
อำเภอหนองเรือ 45 กิโลเมตร
อำเภออุบลรัตน์ 50 กิโลเมตร
อำเภอชนบท 55 กิโลเมตร
อำเภอมัญจาคีรี 58 กิโลเมตร
อำเภอโนนศิลา 58 กิโลเมตร
อำเภอเขาสวนกวาง 59 กิโลเมตร
อำเภอกระนวน 66 กิโลเมตร
อำเภอภูเวียง 68 กิโลเมตร
อำเภอแวงใหญ 72 กิโลเมตร
อำเภอพล 74 กิโลเมตร
อำเภอโคกโพธิ์ไชย 75 กิโลเมตร
อำเภอเปือยน้อย 80 กิโลเมตร
อำเภอหนองนาคำ 80 กิโลเมตร
อำเภอชุมแพ 82 กิโลเมตร
อำเภอแวงน้อย 96 กิโลเมตร
อำเภอหนองสองห้อง 96 กิโลเมตร
อำเภอภูผาม่าน 109 กิโลเมตร
อำเภอสีชมพู 114 กิโลเมตร
อาณาเขตและการปกครอง :
ขอนแก่น แบ่งการปกครองออกเป็น 20 อำเภอ 3 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอภูเวียง อำเภอบ้านไผ่ อำเภอพล อำเภอน้ำพอง อำเภอชุมแพ อำเภอมัญจาคีรี อำเภอหนองเรือ อำเภอกระนวน อำเภอหนองสองห้อง อำเภอชนบท อำเภอสีชมพู อำเภอแวงน้อย อำเภอแวงใหญ่ อำเภออุบลรัตน์ อำเภอบ้านฝาง อำเภอเขาสวนกวาง อำเภอพระยืน อำเภอเปือยน้อย อำเภอภูผาม่าน กิ่งอำเภอหนองนาคำ กิ่งอำเภอซำสูง และกิ่งอำเภอโคกโพธิ์ชัย รวมพื้นที่ประมาณ 10,855,991 ตารางกิโลเมตร

ทิศเหนือ จดจังหวัดอุดร หนองบัวลำภู และ จังหวัดเลย
ทิศใต้ จดจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดบุรีรัมย์
ทิศตะวันออก จดจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดมหาสารคาม
ทิศตะวันตก จดจังหวัดเพชรบูรณ์ และ จังหวัดชัยภูมิ

หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ :
ตำรวจท่องเที่ยว โทร. 1155, 0 4322 6195-6
ที่ว่าการอำเภอเมือง โทร. 0 4323 6115
เทศบาลนครขอนแก่น โทร. 0 4322 1185, 0 4322 4032
ประชาสัมพันธ์จังหวัดขอนแก่น โทร. 0 4323 3015, 0 4324 6853, 0 4324 6649
สถานกงสุลลาว โทร. 0 4324 2856-8
สถานกงสุลเวียดนาม โทร. 0 4324 2190
สถานีตำรวจภูธร โทร. 191, 0 4322 1162
ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โทร. 0 4323 6882, 0 4323 9381
โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โทร. 0 4324 2331-44
โรงพยาบาลขอนแก่น โทร. 0 4323 6005-6


http://www.tourthai.com/province/khon_kaen/

จังหวัดเชียงใหม่

ประวัติและความเป็นมา :
เชียงใหม่ มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในตำนานแรกๆ ที่กล่าวถึงเชียงใหม่ อย่างตำนานว่าด้วยพระธาตุในล้านนา กล่าวถึง ลัวะ ว่าเป็นชนพื้นเมืองมาก่อน ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์และจามเทวีวงศ์ กล่าวเปรียบเทียบลัวะ ว่าเป็นคนเกิด ในรอยเท้าสัตว์ ด้วยเหตุที่ ลัวะ ถือเอารูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ ตำนานรุ่นหลังอย่างตำนานสุวรรณคำแดง หรือ ตำนานเสาอินทขิล เล่าว่า ลัวะ เป็นผู้สร้าง เวียงเจ็ดลิน เวียงสวนดอก และเวียงนพบุรี หรือ เชียงใหม่ ลัวะ จึงน่าจะเป็นชนกลุ่มแรก ที่สร้างเมือง แต่ก่อนหน้านี้ ก็คงมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นี่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่เป็นเมืองเต็มรูปแบบ
ในขณะเดียวกัน ที่ลำพูน ก็มีเมืองชื่อหริภุญไชย ตามตำนานการสร้างเมืองเล่าว่า พระนางจามเทวีวงศ์ ธิดากษัตริย์เมืองละโว้ เสด็จขึ้นมาครองหริภุญไชยใน พ.ศ.1310-1311 ครั้งนั้น พระนางได้พาบริวาร ข้าราชบริพาร ที่เชี่ยวชาญ ในศิลปวิทยาการต่างๆ ขึ้นมาด้วย หริภุญไชยจึงได้รับเอาพุทธศาสนาและศิลปวัฒนธรรม ละโว้ มาใช้ในการพัฒนาจนเจริญขึ้นเป็นแคว้นใหญ่ จวบจนประมาณปี พ.ศ.1839 พญามังราย ผู้สืบเชื้อสายมาจากปู่เจ้าลาวจก หรือ ลวจักราช เป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลาว ครองเมืองเงินยาง ซึ่งได้แผ่อำนาจครอบคลุมลุ่มแม่น้ำกก และได้สร้างเวียงเชียงราย ขึ้นเป็นกองบัญชาการ ซ่องสุมไพร่พล เพื่อยึดครองหริภุญไชย เนื่องจากหริภุญไชย เป็นเมืองศูนย์กลางความเจริญ และเป็นชุมทางการค้า
พญามังรายได้เข้ายึดครองหริภุญไชย แล้วประทับอยู่เพียง 2 ปี ก็ทรงย้ายไปสร้างเวียงกุมกาม ใน พ.ศ.1837 ก่อนจะย้ายมาสร้าง เวียงเชียงใหม่ ใน พ.ศ.1839 โดยได้ร่วมกับพระสหายคือ พญางำเมือง และพ่อขุนรามคำแหง สถาปนา "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" ขึ้น
พญามังรายได้พัฒนาเมืองเชียงใหม่ ทั้งการก่อสร้างวัดวาอาราม มีการตรากฏหมายที่เรียกว่า "มังรายศาสตร์" รวมถึง รับเอาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ เข้ามาเผยแผ่ ในอาณาจักร ซึ่งทำให้พระภิกษุ ในล้านนา สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 9 อาณาจักรล้านนา ได้ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวาง พร้อมกับได้ผูกสัมพันธไมตรี กับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งในสมัยของพระเจ้าติโลกราชนี้เอง ที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงไปปลายสมัยพญาเมืองแก้ว เนื่องจากทำสงครามกับเชียงตุง พ่ายแพ้เสียชีวิตไพร่พลเป็นอันมาก ประกอบกับเกิดอุทกภัย กระทบถึงความมั่นคงของอาณาจักร เมืองในการปกครองเริ่มตีตัวออกห่าง พ.ศ.2101 ในสมัยมหาเทวีจิรประภา กษัตริย์องค์ที่ 15 พม่าได้ยกกองทัพมาตีเชียงใหม่ เพียง 3 วันก็เสียเมือง และกลายเป็นเมืองขึ้นของพม่ายาวนานถึง 216 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ.2317 พญาจ่าบ้านและพระเจ้ากาวิละ ได้ร่วมกันต่อต้านพม่า และอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ยกทัพมาขับไล่พม่าพ่ายแพ้ไป ต่อมาในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงแต่งตั้งพระเจ้ากาวิละ ขึ้นครองเมือง ในฐานะเมืองประเทศราช พระเจ้ากาวิละ ได้ฟื้นฟูเชียงใหม่จนมีอาณาเขตกว้างขวาง การค้าขายรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็ได้จัดส่งบรรณาการ ส่วยสิ่งของและอื่นๆ ให้แก่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งยังมีอำนาจในการแต่งตั้งตำแหน่งเจ้าเมืองและขุนนางระดับสูง
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่ออิทธิพลตะวันตกแผ่เข้ามาในเมืองไทย มีการปฏิรูปการปกครอง โดยผนวกดินแดนล้านนาเข้ามาเป็นมณฑลพายัพ แต่ก็ยังเป็นเมืองประเทศราชในอาณัติราชอาณาจักรสยาม ตรงกับรัชสมัยของเจ้าอินทวิชยานนท์ และรัชกาลที่ 5 ได้ทรงขอเจ้าดารารัศมี ธิดาของเจ้าอินทวิชยานนท์ไปเป็นชายา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น
เมื่อมีการสร้างทางรถไฟขึ้นในเวลาต่อมา ส่งผลให้เมืองเชียงใหม่ ขยายตัวยิ่งขึ้น และใกล้ชิดกรุงเทพฯ มากขึ้น ในปี พ.ศ.2475 เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก เชียงใหม่มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่ง หลังจากนั้นเชียงใหม่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมีความสำคัญรองจากกรุงเทพฯ เท่านั้น
อาณาเขต :
ทิศเหนือ ติดกับรัฐเชียงตุงของประเทศพม่า
ทิศใต้ ติดกับจังหวัดลำพูน และ จังหวัดตาก
ทิศตะวันออก ติดกับ จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย และ จังหวัดลำพูน
ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน
จังหวัดเชียงใหม่แบ่งการปกครองออกเป็น 22 อำเภอและ 2 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอหางดง อำเภอแม่แตง อำเภอสารภี อำเภอสันกำแพง อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอเชียงดาว อำเภอสันทราย อำเภอฝาง อำเภอฮอด อำเภออมก๋อย อำเภอพร้าว อำเภอแม่ริม อำเภอสะเมิง อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอสันป่าตอง อำเภอแม่อาย อำเภอดอยเต่า อำเภอเวียงแหง อำเภอไชยปราการ อำเภอแม่วาง กิ่งอำเภอแม่ออน และกิ่งอำเภอดอยหล่อ
ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอและกิ่งอำเภอต่างๆ
อำเภอแม่ริม 8 กิโลเมตร
อำเภอสารภี 10 กิโลเมตร
อำเภอสันทราย 12 กิโลเมตร
อำเภอสันกำแพง 13 กิโลเมตร
อำเภอหางดง 15 กิโลเมตร
อำเภอดอยสะเก็ด 18 กิโลเมตร
อำเภอสันป่าตอง 22 กิโลเมตร
กิ่งอำเภอแม่ออน 29 กิโลเมตร
อำเภอแม่วาง 35 กิโลเมตร
อำเภอแม่แตง 40 กิโลเมตร
อำเภอสะเมิง 54 กิโลเมตร
อำเภอจอมทอง 58 กิโลเมตร
อำเภอเชียงดาว 68 กิโลเมตร
อำเภอฮอด 88 กิโลเมตร
อำเภอพร้าว 103 กิโลเมตร
อำเภอดอยเต่า 121 กิโลเมตร
อำเภอไชยปราการ 131 กิโลเมตร
อำเภอเวียงแหง 150 กิโลเมตร
อำเภอฝาง 154 กิโลเมตร
อำเภอแม่แจ่ม 156 กิโลเมตร
อำเภอแม่อาย 174 กิโลเมตร
อำเภออมก๋อย 179 กิโลเมตร
หมายเลขโทรศัพท์สำคัญ (รหัสทางไกล 053)
งานข่าวสารการท่องเที่ยว ททท.

02-694-1222 ต่อ 8 , 02-282-9773

ททท.ภาคเหนือ เขต 1 (เชียงใหม่)

053-248-604 , 053-248-607

ประชาสัมพันธ์จังหวัด

053-219-092 , 053-219-291

สำนักงานท่องเที่ยวเทศบาลนครเชียงใหม่

053-252-557 , 053-233-178

ตำรวจท่องเที่ยว จ.เชียงใหม่

053-278-798 , 053-248-974 , 053-242-966 , 053-248-130

ตำรวจทางหลวง

053-242-441

สภ.อ.เมืองเชียงใหม่

053-814-313-4

สภ.อ.จอมทอง

053-341-193-4

สภ.อ.ช้างเผือก

053-218-443

สภ.อ.เชียงดาว

053-455-081-3

สภ.อ.ดอยสะเก็ด

053-495-491-3

สภ.อ.ดอยเต่า

053-469-019

สภ.อ.ฝาง

053-451-148

สภ.อ.พร้าว

053-475-312

สภ.อ.ภูพิงค์ราชนิเวศน์

053-211-750

สภ.อ.แม่แจ่ม

053-485-110

สภ.อ.แม่แตง

053-471-317

สภ.อ.แม่ปิง

053-272-212

สภ.อ.แม่ริม

053-297-040

สภ.กิ่ง อ.แม่วาง

053-928-028

สภ.กิ่ง อ.แม่ออน

053-859-452

สภ.อ.แม่อาย

053-459-033

สภ.อ.เวียงแหง

053-477-066

สภ.อ.สะเมิง

053-487-090

สภ.อ.สันกำแพง

053-332-452 , 053-331-191

สภ.อ.สันทราย

053-491-949

สภ.อ.สันป่าตอง

053-311-122-3

สภ.อ.สารภี

053-322-997

สภ.อ.หางดง

053-441-801-3

สภ.อ.อมก๋อย

053-467-003

สภ.อ.ฮอด

053-461-101

รพ.จินดา

053-244-140 , 053-243-673

รพ.ช้างเผือก

053-220-022

รพ.เชียงใหม่ เซ็นทรัล เมมโมเรียล

053-277-090-3

รพ.เชียงใหม่ราม

053-852-590-6

รพ.เซนต์ปีเตอร์ อาย

053-225-011-5

รพ.ดารารัศมี

053-297-207

รพ.ประชาเวศ เชียงใหม่

053-801-999

รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ (สวนดอก)

053-221-122

รพ.แมคคอร์มิค

053-262-200-19

รพ.ลานนา

053-357-234-53

รพ.รวมแพทย์

053-273-576-7

รพ.นครพิงค์

053-890-755-64

รพ.ดอยสะเก็ด

053-495-505

รพ.แม่อาย

053-459-036

รพ.สะเมิง

053-487-124-5

รพ.ฮอด

053-831-443

รพ.แม่แจ่ม

053-485-073

รพ.ดอยเต่า

053-833-098

http://www.tourthai.com/province/chiang_mai/

แม่น้ำตาปี

ประวัติ

แม่น้ำตาปีเป็นชื่อที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2458 และได้กระทำคำสั่งประกาศเป็นทางการโดยมี มหาอำมาตย์โท พระยามหาอำมาตยาธิบดี เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ลงนามในประกาศ ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2458
เดิมแม่น้ำตาปี มีชื่อว่า " แม่น้ำหลวง" เพราะต้นกำเนิดของแม่น้ำสายที่อยู่ที่ภูเขาหลวงซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของทิวเขานครศรีธรรมราช อยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ไหลผ่านอำเภอฉวาง อำเภอทุ่งใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านอำเภอพระแสง อำเภอบ้านนาสาร อำเภอเคียนซา อำเภอพุนพิน และไหลออกสู่อ่าวไทยที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นแม่น้ำสายยาวที่สุดของภาคใต้
เนื่องจากแม่น้ำหลวง มีความยาวมาก ชาวพื้นเมือง จึงเรียกชื่อแม่น้ำสายนี้ต่างกันออกไปตามตำบลที่ไหลผ่าน เช่น เมื่อผ่านอำเภอพุนพิน เรียกแม่น้ำท่าข้าม เมื่อผ่านอำเภอไชยา เรียก แม่น้ำบ้านพุมเรียง ประกอบกับแม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่ใหญ่กว่าแม่น้ำใด ๆ ในพระราชอาณาจักรมณฑลปักษ์ใต้ ท่องที่ลุ่มแม่น้ำสายนี้เป็นพื้นที่อุดม มีความสำคัญแก่การเพาะปลูก มีความสำคัญทั้งแก่การเพาะปลูก และค้าขาย นับเป็นแม่น้ำสำคัญมากสายหนึ่งของอาณาจักรสยาม ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่พระตำหนักสวนสราญรมย์ ที่ตำบลท่าข้าม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานชื่อเมืองไชยาใหม่ (ที่บ้านดอน) เป็นเมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2458 จึงมีพระราชดำรับว่า เห็นสมควรจะให้มีชื่อไว้เป็นหลักฐานตลอดทั้งลำน้ำ เพื่อให้เป็นการสะดวก แก่ประชาชน และวิชาภูมิศาสตร์สืบไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อแม่น้ำสายนี้ว่าแม่น้ำตาปีโดยนับตั้งแต่ปากน้ำออกทะเล ถึงเกาะปราบ ขึ้นไปถึงเมืองสุราษฎร์ธานี ถึงปากแม่น้ำพุมดวง (ที่อำเภอพุนพิน ตรงบริเวณตอนเหนือของสะพานรถไฟพระจุลจอมเกล้าไปเล็กน้อย) แต่ปากแม่น้ำพุมดวงขึ้นไปถึงปากคลองสินปุน ตั้ง ตั้งแต่ปากคลองสินปุนไปถึงคลองกะเปียด ตั้งแต่คลองกะเปียดขึ้นไปถึงสำนักบันได สามขั้นบนสันเขาหลวงซึ่งเป็นต้นน้ำ
การตั้งชื่อเมือง และแม่น้ำนี้ คล้ายกับชื่อแม่น้ำ ตาปติ และเมือง สุรัฎฐ (สุราษฎร์) ในประเทศอินเดีย ซึ่งแม่น้ำตาปติตั้งต้นจากภูเขาสัตตปุระ ไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดียทางอ่าวแคมเบย์ และริมฝั่งซ้ายของปากแม่น้ำนี้มีเมืองชื่อว่า สุรัฎฐ์ ตั้งอยู่ สภาพของเมืองทั้งสองคล้ายคลึงกัน ประกอบกับทรงทราบว่า ชาวเมืองสุราษฎร์เป็นผู้มีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักพระพุทธศาสนาสอดคล้องกับ ความหมายของสุราษฎร์ธานี พร้อมกันนี้ ได้ทรงพระราชทานนามพระตำหนักที่ชาวเมืองสร้างถวายเป็นที่ประทับบนควนท่าข้ามว่า สวนสราญรมย์ ซึ่งปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของโรงพยาบาล
[แก้]คลองสาขา

แม่น้ำตาปี เกิดจากเทือกเขาหลวงในอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราชไหลผ่านอำเภอฉวาง อำเภอทุ่งใหญ่ ไหลผ่านอำเภอบ้านนาสาร อำเภอเวียงสระ อำเภอพระแสง อำเภอพุนพิน และอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ไหลออกสู่ทะเลที่อ่าวบ้านดอน แม่น้ำตาปี ยาวประมาณ 232 กิโลเมตร มีคลองสาขาที่สำคัญ 6 สาย ได้แก่
คลองสินปุน ต้นน้ำอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปี ทางฝั่งซ้ายในตำบลสินปุน อำเภอพระแสง
คลองอิปัน ตันน้ำมาจากกอำเภอทับปุด จังหวัดพังงา ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปีทางฝั่งซ้ายในตำบลสินปุน อำเภอพระแสง
คลองพุนพิน แยกจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำตาปี ใกล้สะพานรถไฟพระจุลจอมเกล้า ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน ไปออกทะเลที่อ่าวบ้านดอน
คลองท่ากูบ ต้นน้ำมาจากบ้านขุนทะเล ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปีทางฝั่งขวา
คลองมะขามเตี้ย ต้นน้ำมากจากบึงขุนทะเล ไหลมารวมกับแม่น้ำตาปี ทางฝั่งขวาใกล้ตลาดบ้านดอน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี
คลองขวาง แยกจากฝั่งซ้ายตรงกันข้ามกับหน้าตลาดบ้านดอน อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ไปบรรจบกับคลองพุนพิน ที่ตำบลลิเล็ด อำเภอพุนพิน
นอกจากนี้ ยังมีคลองอื่น ๆ เช่น คลองศก ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอุทยานแห่งชาติเขาสก คลองยัน ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง และคลองพุมดวง เป็นต้น
[แก้]ความสำคัญทางประวัติศาสตร์

ใน ราว ค.ศ. 100 - ราว ค.ศ. 178 ปโตเลมี นักปราชญ์ชาวกรีก ได้กล่าวถึง แม่น้ำอัตตาบาส์ หมายถึง แม่น้ำตาปี เป็นเส้นทางเดินทางและเมืองท่าสำคัญ ในหนังสือดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์
จากคลองสาขาที่มาจากจังหวัดกระบี่ และจังหวัดพังงา เป็นเส้นทางสำคัญในยุคอาณาจักรศรีวิชัย ที่ชาวต่างชาติใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงสินค้าจากทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย ขึ้นฝั่งยังบริเวณอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มาสู่อ่าวไทยที่บริเวณปากแม่น้ำพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีเส้นทางที่สำคัญอย่างน้อย 4 เส้นทาง คือ
จากทุ่งตึกผ่านทางคลองเหล ผ่านมาทางเขาสก เข้าคลองพุมดวง เข้าแม่น้ำตาปี และมาออกที่อ่าวบ้านดอน
จากคณะมะรุ่ยผ่านทางคลองชะอุ่น คลองสก คลองพุมดวง แม่น้ำตาปี แล้วออกทางอ่าวบ้านดอน
จากคลองปกาสัย ผ่านคลองโตรม คลองอิปัน ออกแม่น้ำตาปี แล้วต่อมาออกอ่าวบ้านดอน
จากคลองท่อมผ่านคลองสินปุน ออกแม่น้ำตาปี และอ่าวบ้านดอน
[แก้]การใช้ประโยชน์

ปัจจุบัน แม่น้ำตาปี ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ทั้งการอุปโภค บริโภค และการนันทนาการท่องเที่ยว
เขื่อนรัชชประภา
เป็นเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้า กั้นแม่น้ำตาปีบริเวณต้นน้ำคลองศก ระดับน้ำในเขื่อนสูงสุดที่ 100 เมตร นำน้ำที่เก็บไว้สำหรับการผลิตไฟฟ้า และการชลประทานสำหรับพื้นที่อำเภอพนม และอำเภอคีรีรัฐนิคม
ล่องแก่งคลองยัน-คลองศก
ในอุทยานแห่งชาติแก่งกรุง ได้จัดกิจกรรมล่องแก่งชมธรรมชาติสองข้างทางของคลองยันที่ไหลผ่านบริเวณพื้นที่อุทยาน และในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาสก มีเอกชนจ้ดกิจกรรมล่องห่วงยางไปตามลำน้ำคลองสก เป็นกิจกรรมนันทนาการท่องเที่ยวในพื้นที่
การอุปโภคบริโภค
โดยนำน้ำจากแม่น้ำตาปี เป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา นอกจากนี้ยังมีโรงงานที่ตั้งขึ้นสองฝั่งแม่น้ำที่ใช้น้ำจากแม่น้ำตาปี ในการอุปโภคและบริโภคจำนวนมาก


http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B5

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

วัดพระแก้ว

ประวัติวัดพระแก้ว
เดิมเป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่บริเวณนี้มีกอไผ่ชนิดหนึ่งคล้ายไผ่สีสุก แต่ไม่มีหนาม ชาวบ้านนิยมนำไปทำคันธนู และหน้าไม้ คงจะมีมากในบริเวณนี้ ชาวเชียงรายจึงเรียกว่า “วัด ป่าเยี้ยะ หรือวัดป่าญะ” ต่อมาในปี พ.ศ.1897 ในสมัยพระเจ้าสามฝั่งแกนเป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่นั้น ฟ้าได้ผ่าเจดีย์ร้างองค์หนึ่ง และได้พบพระพุทธรูปลงรักปิดทองอยู่ภายในเจดีย์ ต่อมารักกะเทาะออกจึงได้พบว่าเป็นพระพุทธรูปสีเขียวสร้างด้วยหยก คือพระแก้วมรกตนั่นเอง ชาวบ้านจึงเรียกชื่อเสียใหม่ว่า “วัดพระแก้ว" ปัจจุบันชาวเชียงรายได้สร้างพระแก้วมรกตองค์ใหม่ขึ้นแทน เรียกว่าพระหยกเชียงราย หรือ พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล ซึ่งสร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระชนมายุ ครบ 90 พรรษา


ตำนานพระแก้วมรกต
ตามตำนานโบราณ (พระภิกษุพรหมราชปัญญา แต่งเป็นภาษาบาลีไว้เมื่อ พ.ศ. 2272) ชื่อหนังสือรัตนพิมพวงศ์พระนาคเสนเถระเป็นผู้สร้างด้วยแก้วอมรโกฏิที่เทวดานำมาจากพระอินทร์นำมาถวาย ที่เมืองปาฏลีบุตร (ปัจจจุบัน เมืองปัตนะ รัฐพิหาร อินเดีย) ต่อมาได้มีการอัญเชิญไปประดิษฐ์สถาน ยังที่ต่างๆ ดังนี้
1. เกาะลังกา 2. กัมพูชา 3. อินทาปัฐ (นครวัต) 4. กรุงศรีอยุธยา 5. ละโว้ (ลพบุรี) 6. วชิรปราการ (กำแพงเพชร) 7. เชียงราย (พ.ศ.1934-1979 ประดิษฐาน 45 ปี) 8. ลำปาง (พ.ศ. 1979-2011 ประดิษฐาน 32 ปี) 9. เชียงใหม่ (พ.ศ. 2011-2096 ประดิษฐาน 85 ปี) 10. เวียงจันทน์ (พ.ศ.2096 -2321 ประดิษฐาน 225 ปี) 11. กรุงเทพมหานคร (พ.ศ.2321-ปัจจุบัน)
ปัจจุบันประดิษฐานอยุ่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พรบรมมหาราชวัง ได้รับพระราสชทานนามว่า “พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร”

พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล
เนื่องในมหามงคลสมัย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระเจริญมายุ 90 พรรษา จังหวัดเชียงรายได้จัดสร้าง พระพุทธรูปหยก ขนาดหน้าตักกว้าง 47.9 ซม. สูง 65.9 ซม. สร้างด้วยหยก จากประเทศแคนาดา (มร. ฮูเวิร์ด โล เป็นผู้บริจาค) แกะสลักโดยโรงงานหยก วาลินนานกู มหานครปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
พระพุทธรูปหยกองค์นี้สร้างขึ้น เพื่อเป็นองค์แทนพระแก้วมรกต เพราะพระแก้วมรกต ได้ถูกค้นพบ ณ พระเจดีย์วัดพระแก้วเป็นแห่งแรก (พ.ศ.1977) และเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่ง พระองค์ท่านได้พระราชทานนามถวายว่า “พระพุทธรตนากรนวุติวัสสานุสรณ์” แปลว่าพระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นอากรแห่งรัตน เป็นมงคลอนุสรณ์ 90 พรรษา และโปรดเกล้าให้เรียกนามสามัญว่า “พระหยกเชียงราย”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้ประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 และจังหวัดเชียงราย ได้ประกอบพิธีแห่เข้าเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2534


หอพระหยกเชียงราย

วัดในภาคเหนือในสมัยโบราณ นอกจากจะมีอุโบสถ วิหาร ศาลา กุฏิ หอพระธรรม ฯลฯ แล้วยังมี
“หอพระสำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป” วัดพระแก้วจึงได้สร้าง “หอพระหยกเชียงราย” เป็นอาคารทรงแบบลานนาโบราณ เป็นอาคาร ค.ส.ล. ประกบด้วยไม้ชั้นเดียว ใต้ถุ่นสูง ขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 12 เมตร วางศิลาฤกษ์ โดยเจ้าประคุณสมเด็จ
พระพุทธชินวงศ์ เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2534 เมื่อได้ก่อสร้างสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เสด็จมาเป็นประธานพิธีเปิดหอพระหยกเชียงรายเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน
พ.ศ.2541


พระอุโบสถ

พระอุโบสถสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2433 มีขนาดกว้าง 9.50 เมตร ยาว 21.85 เมตร เดิมเป็นพระวิหาร ต่อมาได้ขอพระราชทานวิสุงคามสีมา ได้ประกอบพิธีผูกพัธสีมา เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2495 ได้บูรณปฏิสังขรณ์ ครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2503 ได้บูรณะใหญ่ครั้งที่ 1 พ.ศ.2503-2505 ในสมัยพุทธวงศ์วิวัฒน์ (วงศ์ ทานวโร) เป็นเจ้าอาวาส นายหมัด ไชยา เป็นช่างผู้ควบคุมการก่อสร้าง ประกอบพิธีปอยหลวงสมโภช เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2505 ได้บูรณะใหญ่ครั้งที่ 2 พ.ศ.2543-2545 โดยเปลี่ยนกระเบื้องกระเทาะปูนเก่าออก ฉาบปูนใหม่ ลงรัก ปิดทอง เปลี่ยนช่อฟ้า-ใบระกา บานประตูหน้างต่าง ลวดลาย ภายในเป็นไม้สักทั้งหมด โดยการควบคุมการก่อสร้างของพระเทพรัตนมุณี เจ้าอาวาส และนายนพดล อิงควนิช

หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วัดพระแก้ว โทร. 0 5371 8533 หรือ www.watphrakaew.org

ความสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา

“ขอวอนทางรัฐบาล แล้วขอวอนทางทุกท่านหมดเลย ว่าขอให้ช่วยกันรักษาแม่น้ำต่างๆไว้ด้วย โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยา ขอให้คนทางกรุงเทพฯช่วยกันรักษา เพราะว่าแต่ก่อนแม่น้ำเจ้าพระยา เรียกว่าแหล่งอาหารที่ยอดของคนทั้งหลาย และขอให้ช่วยกันประหยัดแหล่งน้ำจืด ก็คือแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแหล่งน้ำจืด ให้ใช้น้ำจืดอย่างรู้คุณค่า”

จากพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่พระราชทานไว้ แสดงถึงความใส่พระราชหฤทัยในการแก้ปัญหาให้กับราษฎรของพระองค์ ทรงห่วงใยปัญหาแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะวันนี้ แม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมทั้งคุณภาพน้ำ และสภาพแวดล้อมทั้งสองฝั่ง กรุงเทพมหานคร จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เจ้าพระยา สายน้ำแห่งชีวิต ภายใต้โครงการเรารักษ์เจ้าพระยา ดำเนินตามกระแสพระราชดำรัสฯ ฟื้นฟู คุณภาพชีวิตของคนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ให้เกิดจิตสำนึก รักและผูกพันระหว่างคนกับสายน้ำ

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า งานนี้ อยากให้เห็นความสำคัญของทุกสิ่งที่อยู่ร่วมกับแม่น้ำแห่งชีวิตสายนี้ สองริมฝั่งเจ้าพระยามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของวันวานให้เรียนรู้ ในน้ำมีคุณค่าและความหลากหลายของชีวิตที่สัมพันธ์กับมนุษย์ ทั้งหมดคือความจริงของคนกรุงเทพฯ จะทำให้เรื่องราวของเจ้าพระยา ยังสามารถสืบทอดต่อไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลานในวันหน้า

นิทรรศการโครงการสนองพระราชดำรัสฯ เรื่องสิ่งแวดล้อม ชมพระราชกรณียกิจอันสำคัญ และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เพราะสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงส่งเสริมให้มีการฟื้นฟู และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนรัก หวงแหนทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นแนวทางอนุรักษ์ที่ยั่งยืนวิถีชีวิตริมน้ำเจ้าพระยา จากภาพวาด และภาพถ่าย ผลงานจากการประกวดวาดภาพ และภาพถ่ายในโครงการเรารักษ์เจ้าพระยา ปี 2551 ที่จะสะท้อนให้เห็นความผูกพันของเรากับแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านงานศิลปะภาพถ่ายและภาพวาด ด้วยฝีมือของเด็กๆ และประชาชนทั่วไป ที่ไม่ควรพลาด ปลูกไม้ยืนต้นชนิดเดียวกัน บนถนนสายเดียวกัน

สืบเนื่องมาจากพระราชดำริ เรื่องการปลูกต้นไม้ในกรุงเทพมหานคร จึงมีการปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกัน บนถนนสายเดียวกัน นำพันธุ์ไม้ 20 ชนิด ปลูกตามถนนสายหลักรอบเมือง อาทิ ถนนเจริญราษฎร์ ปลูกต้นประดู่ ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ปลูกต้นนนทรี ฯลฯ และหวังให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้ แจกกล้าไม้ ฟรี ให้ไปปลูกที่บ้านได้

การปรับปรุงคุณภาพน้ำชักชวนทุกคนร่วมล่องเรือ ไปวัดคุณภาพน้ำ ด้วยตัวเอง พร้อมเรื่องราวจากโรงควบคุมคุณภาพน้ำ ที่ กทม.ดำเนินการแล้ว 7 แห่งรอบกรุงเทพฯ ให้เห็นว่าย่านไหน ละแวกไหน สภาพน้ำมีคุณภาพเป็นอย่างไรพันธุ์ปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา ปลาหลายชนิดในแม่น้ำเจ้าพระยาลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว พันธุ์ปลาที่เคยมีกว่า 200 ชนิด ลดเหลือไม่ถึง 60 ชนิด ในปี 2550 ครั้งนี้ นำพันธุ์ปลาที่มีอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยามาให้ชมกัน หวังให้ทุกคนร่วมมือกันชุบชีวิตพันธุ์ปลา ให้กลับมาแหวกว่ายอีกครั้ง

ปรับปรุงภูมิทัศน์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และชมแหล่งท่องเที่ยว ทางประวัติศาสตร์กรุงเทพมหานคร โดยสำนักผังเมือง จัดทำแผนพัฒนาภูมิทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปรับปรุงพื้นที่ ให้สะอาด ให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ พร้อมอนุรักษ์ บูรณะ อาคารเก่า โบราณสถาน ให้โดดเด่น เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะตลอดสายน้ำเจ้าพระยาสามารถเดินชมย่านเก่า ตลาดดั้งเดิมคู่กรุงเทพฯ รวมทั้งแหล่งอาหารและแหล่งจับจ่าย หรือลิ้มลองอาหารอร่อยจากย่านชุมชนต่างๆ

นอกจากนี้ ล่องเรือชมแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืน จากท่าเรือกองการท่องเที่ยว สะพานพระปิ่นเกล้า ถึงสะพานพระราม ๙ ชมสถาปัตยกรรมสองฝั่งแม่น้ำทั้งโบสถ์ฝรั่ง มัสยิด วัง บ้านโบราณ อาคารสถานทูต บริษัทห้างร้าน แทรกด้วยอาคารสำนักงานหรูทันสมัย ให้เห็นมหานครแห่งความทันสมัย และศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรม ตั้งแต่หกโมงเย็น ถึงสองทุ่ม พร้อมมัคคุเทศก์และเจ้าหน้าที่ประจำเรือ และกิจกรรมมากมาย ฟรี สำหรับทุกคน เช่น ทำแม่เหล็กติดตู้เย็น ทำเข็มกลัดหนึ่งเดียวในโลก ทำโปสการ์ด ให้แม่ รวมถึงจำหน่ายอาหารอร่อยหลากชนิดจากชุมชนบางลำพู พร้อมการแสดงบนเวที มากมาย อาทิ คอนเสิร์ตแคลอรี่ บา บา และ สุเมธ แอนด์ เดอะปั๋ง ช่วงเย็นถึงค่ำ ตั้งแต่วันที่ 11-13 สิงหาคม นี้ ที่สวนสันติชัยปราการ ถนนพระอาทิตย์

คงเป็นเรื่องดีๆ และจำเป็นอีกเรื่อง ที่คนกรุงเทพฯ ต้องหันมามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำเจ้าพระยากันเสียที ต้องเริ่มต้นร่วมมืออย่างจริงจัง ในการดูแล รักษา และฟื้นฟูแม่น้ำเจ้าพระยาให้สดใสงดงามต่อไป ถ้ายังเชื่อว่า แม่น้ำเจ้าพระยาสายนี้ เป็นแม่น้ำแห่งชีวิต
Facebook
Twitter
พิมพ์ข่าวนี้ ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นักร้องนำวงลูซิเฟอร์ ศิลปินดังจากญี่ปุ่น ร่วมลงนามถวายพระพรจนท.เร่งกู้ซาก ฮ.ตกกลางเจ้าพระยาธรรมกร (บุคคลแนวหน้า ประจำวันที่ 10 กันยายน 2553)เกิดเหตุ ฮ.บินถ่ายทำสารคดีร่วงตกกลางเจ้าพระยาหน้าวัดกลางเกร็ด สาหัส 1ฮ.ถ่ายทำสารคดีบินชนสายไฟ จมเจ้าพระยา บึ้มสนั่น 4 ชีวิตรอดปาฏิหาริย์หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
กรุงเทพ รัฐบาล อาหาร แม่

http://www.ryt9.com/s/prg/625480

ปัญหาสังคม

ปัญหาสังคม หมายถึง สภาวะการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนมากในสังคมและเห็นว่าควรร่วมกันแก้ปัญหานั้นให้ดีขึ้น

สาเหตุของปัญหาสังคม
1. เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การเปลี่ยนเป็นสังคมเมือง การเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมเป็นสังคมอุตสาหกรรม การเป็นค่านิยมใหม่ ๆ ทำให้เกิดปัญหาสังคมขึ้น
2. เกิดจากสมาชิกในสังคมบางกลุ่มไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคมวางไว้ เช่น เกิดความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์กับความมุ่งหมาย เกิดความล้มเหลวของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือสมาชิกบางกลุ่มที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม ทำให้เกิดการขาดระเบียบและเป็นปัญหาทางสังคมขึ้น
3. เกิดจากการที่กลุ่มสังคมต่าง ๆ มีความคิดเห็นความต้องการ และผลประโยชน์ขัดกัน ไม่ยอมร่วมมือแก้ไขปัญหาของสังคม เช่น การเอาเปรียบลูกจ้าง เป็นต้น

ปัญหาของสังคมไทย
1. ปัญหาความยากจน มีสาเหตุเกิดจาก
1. การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร
2. การขาดการศึกษา ทำให้มีรายได้ต่ำ
3. ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
4. ลักษณะอาชีพมีรายได้ไม่แน่นอนสม่ำเสมอ เช่นกรรมกร รับจ้าง
5. มีบุตรมากเกินไป รายได้ไม่พอกับรายจ่าย
6. มีลักษณะนิสัยเฉื่อยชาและเกียจคร้าน ไม่ชอบทำงาน
การแก้ไขปัญหา :
1. พัฒนาเศรษฐกิจ เช่น กระจายรายได้ การสร้างงานในชนบท ขยายการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
2. พัฒนาสังคม เช่น ขยายการศึกษาเพิ่มมากขึ้น บริการฝึกอาชีพให้กับประชาชน
3. พัฒนาคุณภาพของประชากร

2. ปัญหาอาชญากรรม มีสาเหตุเกิดจาก
1. การขาดความอบอุ่นทางจิตใจ
2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากขึ้น
3. สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม
4. มีค่านิยมในทางที่ผิด
การแก้ไขปัญหา
1. รัฐและหน่วยงานรับผิดชอบควรช่วยกันแก้ไขปัญหา
2. ปลูกฝังและพัฒนาจิตใจของสมาชิกในสังคมให้มีคุณธรรม
3. อบรมสั่งสอนและให้ความรัก ความอบอุ่น และรวมถึงให้ความร่วมมือกับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่
3.ปัญหายาเสพย์ติด มีสาเหตุเกิดจาก
1. ถูกชักชวนให้ทดลอง
2. ประกอบอาชีพบางอย่างที่ต้องการเพิ่มงานมากขึ้น
3. ความอยากรู้และอยากทดลอง
4. สภาวะแวดล้อมไม่ดี
การแก้ไขปัญหา
1. ให้ความรู้เรื่องโทษของยาเสพย์ติด
2. ป้องกันและปราบปรามผู้ซื้อและผู้ขายอย่างเด็ดขาด
3. การร่วมมือสอดส่องดูแลความประพฤติของเด็กอย่างใกล้ชิด
4. จัดให้มีการบำบัดและรักษาผู้ติดยาเสพย์ติด
4. ปัญหาโรคเอดส์ สาเหตุเกิดจาก
1. ปัญหายาเสพย์ติด
2. ขาดความรู้ในการป้องกันโรค
3. เกิดจากความยากจนและไม่เพียงพอ
การแก้ไขปัญหา
1. ให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการโรคเอดส์ให้กับประชาชน
2. ไม่เสพย์สิ่งเสพย์ติด โดยเฉพาะการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
3. ระมัดระวังการติดเชื้อโดยทางสายเลือด
5. ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น อากาศเป็นพิษ น้ำเน่าเสีย เสียงเป็นพิษ ขยะมูลฝอย เป็นต้น มีสาเหตุเกิดจาก
1. การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว
2. เกิดจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3. การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม
4. ขาดความรับผิดชอบ และระเบียบวินัยของสมาชิกในสังคม
การแก้ไขปัญหา
1. ให้การศึกษาและคำแนะนำต่าง ๆ แก่สมาชิกในสังคม
2. วางนโยบายการป้องกันการทำลายสิ่งแวดล้อม
3. ลงโทษผู้ฝ่าฝืนและกระทำผิดอย่างจริงจัง


แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมไทย
1. รัฐบาลควรออกระเบียบ กฎเกณฑ์ และกฎหมาย เพื่อกำหนดมาตรการการป้องกัน และปราบปรามผู้กระทำผิดอย่างจริงจังและแน่นอน
2. วางแผนและนโยบายการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อรณรงค์และอนุรักษ์
3. ให้การศึกษาแก่สมาชิกในสังคมเพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในปัญหาต่าง ๆ ให้มากขึ้น
4. ปรับปรุงและพัฒนาสังคมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. พัฒนาเศรษฐกิจทั้งด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการบริการให้ดีขึ้น
6. พัฒนาสังคม สร้างค่านิยม และรณรงค์ให้ประชาชนร่วมมือในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

http://www.lks.ac.th/kukiat/student/betterroyal/social/7.html

10 ปรากฎการณ์ผลกระทบวิกฤต"โลกร้อน"

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!


สารภูมิแพ้แพร่ระบาด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน

คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย


สัตว์อพยพไร้ที่อยู่

ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น

สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว


"พืช"ขั้วโลกคืนชีพ

ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก

ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี

แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง

กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ


ทะเลสาบหายสาบสูญ

เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น

มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก

สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง

นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย



น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย

ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น

แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน

ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา

เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป

สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย

ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น

ชนวนเกิดไฟป่า

นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่า

ภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว

เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี

ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด

โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น

บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน

สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น

ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่

ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม

การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน

ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม

ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ


ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก

ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน!

นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว

เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง


โบราณสถานเสียหาย

โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน

เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว

โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน

http://story.thaimail.com/news/index.php?option=com_content&task=view&id=788&Itemid=0

วิธีป้องกันโรคกระดูด

วิธีป้องกันโรคกระดูก



หลายคนอาจเคยสงสัยว่า ทำไมคนเราเมื่อมีอายุมากขึ้นถึงมีปัญหาเรื่องตัวเตี้ยลง หลังค่อม ขาโก่งงอ หรือกระดูกหักง่าย วันนี้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีคำตอบมาให้ค่ะ

สาเหตุของอาการดังกล่าว มาจากความขยันขันแข็งของเจ้า “กระดูก” นั่นเอง มันจึงไม่เคยหยุดพัก วันๆ เอาแต่สร้างเซลล์กระดูกใหม่และสลายเซลล์กระดูกเก่าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เนื้อกระดูกส่วนที่หมดอายุถูกกำจัดออกไปเพื่อให้กระดูกที่สร้างใหม่ขึ้นมาแทนที่ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กถึงวัยหนุ่มสาว อัตราการสร้างกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสลายกระดูก ทำให้กระดูกต่างๆ ในร่างกายของคุณแข็งแรงทนทาน ไม่ก่ออาการเจ็บป่วยง่ายๆ

แต่!!!เมื่อคุณย่างก้าวเข้าสู่วัยที่มีเลข 3 นำหน้าขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเร็วกว่าอัตราการสร้างกระดูก ซึ่งเป็นผลทำให้ปริมาณมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกถูกทำลาย ทำให้รูพรุนที่คล้ายฟองน้ำของกระดูกชั้นในมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กระดูกบางลงและอ่อนแอ จนเกิดภาวะ “กระดูกพรุน” ขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ปริมาณเนื้อกระดูกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลอดชีวิตผู้หญิงจะสูญเสียเนื้อกระดูกมากกว่าผู้ชายถึง 2 - 3 เท่า

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นพ.ธนา ธุระเจน เลขาธิการมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย เล่าให้ฟังว่า โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะความผิดปกติของกระดูกซึ่งทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงซึ่งโดยทั่วไปจะไม่มีอาการ ผู้ป่วยจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะป้องกันและดูแลรักษาจนหลายครั้งเมื่อตรวจพบหรือเกิดอุบัติการณ์กระดูกหักก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตแล้ว สำหรับในประเทศไทย ในปี 2552 พบว่ามีประชากรอายุมากกว่า 50 ปี ประมาณ 15 ล้านคน โดยประมาณ 15% ของประชากรผู้หญิงอายุมากกว่า 50 ปี หรือ 2.25 ล้านคนเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง

สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ หญิงวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารที่มีความผิดปกติในการดูดซึมแคลเซียม คนที่ดื่มสุรา กาแฟ สูบบุหรี่จัด ผู้ป่วยที่ต้องนอนบนเตียงคนป่วยเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคมะเร็งกระจายไปที่กระดูก ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวกระดูกหักง่าย นอกจากนี้ การได้รับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น ยาเสตรียรอยด์ ยากันชัก ยาไทร็อกซิน ฯลฯ รวมทั้งคนที่เป็นโรครูมาตอยด์

โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ฯลฯ ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมากเป็นพิเศษอีกด้วย

เมื่อกระดูกในร่างกายเริ่มบางลง จนเริ่มเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยถ้ากระดูกไม่หัก ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุน จะดำรงชีวิตได้อย่างปกติ แต่หากวันดีคืนดีเดินสะดุดก้อนหินหกล้ม หรือถูกคนวิ่งมาชน ภัยเงียบที่แอบแฝงในร่ายกายอย่างเจ้าโรคกระดูกพรุนก็จะสำแดงฤทธิ์เดชทำให้กระดูกหักได้ทันที โดยกระดูกบริเวณที่พบว่าหักบ่อย ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อกระดูกสะโพกหักนั้นทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเดินได้ ต้องนอนบนเตียงเป็นเวลานานทำให้เสี่ยงการเกิดแผลกดทับ ผู้ป่วยไม่สามารถยกของที่มีน้ำหนักได้ตามปกติ รวมทั้งต้องเป็นภาระในการดูแลระยะยาวและอาจเสียชีวิตในที่สุด

นอกจากนั้นภาวะกระดูกพรุนยังส่งผลต่อโครงสร้างของกระดูกสันหลังอีกด้วย เพราะจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังเฉียบพลันและเรื้อรัง มีรูปร่างเปลี่ยนไป เตี้ยลง หลังโก่ง ไหล่งุ้มกว่าปกติ พุงยื่น หลังแอ่น ไม่มีเอว ฟันหลุดง่าย และการทำงานของอวัยวะภายในด้อยลง การย่อยอาหาร และการหายใจลำบาก เพิ่มความเสี่ยงกระดูกหัก ส่งผลให้อัตราตายสูงขึ้น

หากใครสงสัยว่าจะป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ก็สามารถไปตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยวิธีการเอกซเรย์ที่โรงพยาบาล เพื่อคำนวณหาความหนาแน่นของกระดูกเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานโดย
กระดูกปกติ จะค่าความหนาแน่นกระดูกมากกว่า -1 เมื่อเริ่มเป็นกระดูกบางจะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่า -1 ถึงมากกว่า -2.5 หากเข้าสู่ภาวะกระดูกพรุนจะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 และหากป่วยโรคกระดูกพรุนอย่างรุนแรง จะมีค่าความหนาแน่นกระดูกน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 และมีกระดูกหักร่วมด้วย

โรคกระดูกพรุน มีอันตรายสูงมาก ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องป้องกันและรักษาโดยเร่งด่วน เพราะเมื่อกระดูกหักอันแรก ก็มักจะนำไปสู่กระดูกหักอันต่อไป…แต่การที่จะรักษากระดูกที่พรุนแล้วให้กลับเข้าสู่สภาพเดิมนั้นมักจะไม่ค่อยได้ผล ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด คือ การดูแลตัวเองไม่ให้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนนั่นเอง...

โรคกระดูกพรุนสามารถป้องกันได้ ถ้าเราให้ความสนใจดูแลรักษา โดยรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ เพราะร่างกายต้องการแร่ธาตุที่สำคัญเพื่อมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือเติมเต็มสิ่งที่มีอยู่ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ร่างกายจึงควรได้รับสารอาหารต่างๆ ดังนี้...

แคลเซียม ในวัยผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป ควรรับประทานแคลเซียมให้ได้ 1200 – 1500 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่มีมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในร่างกาย เพราะร้อยละ 99 ของแคลเซียมจะอยู่ในกระดูก ที่เหลือจะกระจายอยู่ตามของเหลวต่างๆ ในร่างกาย หน้าที่ของแคลเซียมคือ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง กล้ามเนื้อและประสาททำงานเป็นปกติ กระตุ้นการแข็งตัวของเลือดหลังการบาดเจ็บ และควบคุมการทำงานของ เอ็นไซม์และการเต้นของหัวใจ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม คือ นม โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว งา ปลาตัวเล็กที่รับประทานทั้งกระดูก และผักใบเขียวที่ปลอดสารเคมี เป็นต้น

แมกนีเซียม พบมากในร่างกายเป็นอันดับสองรองจากแคลเซียม หน้าที่ของแมกนีเซียมคือ ช่วยควบคุมการทำงานของร่างกาย ผลิตพลังงาน สร้างโปรตีน และช่วยการหดตัวของกล้ามเนื้อ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม ได้แก่ ถั่วต่างๆ ธัญพืช แป้ง และอาหารทะเล นอกจากนี้ร่างกายยังต้องการทองแดง แมงกานีส สังกะสี เข้ามาช่วยในการทำงานของเอ็นไซม์ในกลไกการสร้างกระดูก และช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูกสันหลังในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน นอกจากนี้ยังควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และการบริโภคชนิดอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น...“วิตามินดี”...ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงของกระดูก เพราะหากได้รับวิตามินดีไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะไม่สามารถดูดซึมแคลเซียม ซึ่งเป็นธาตุที่สำคัญต่อกระดูกได้ เรียกได้ว่า การขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด "โรคกระดูกพรุน" เลยทีเดียวค่ะ...

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันโรคกระดูกพรุน คือ การออกกำลังกายอย่างน้อย 15 - 20 นาที เป็นประจำทุกวัน ดังที่ สสส. ได้รณรงค์มาโดยตลอด เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ทำให้กระดูกแข็งแรงไม่แตกหักได้ง่าย

เมื่อรู้วิธีป้องกันแล้วอย่านิ่งเฉย เพราะการที่คุณเริ่มต้นบำรุงกระดูกได้เร็วเท่าใดก็จะทำให้คุณสะสมปริมาณมวลกระดูก ชะลออัตราการสูญเสียมวลกระดูก ซึ่งจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกพรุนเมื่อสูงอายุขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างเอง...



http://www.thaihealth.or.th/node/9105

การใช้อินเตอร์เน็ตอย่งถูกวิธี

5วิธีการใช้อินเตอร์เนตอย่างสร้างสรรค์และถูกวิธี
5วิธีการใช้อินเตอร์เนตอย่างสร้างสรรค์และถูกวิธี
จาก Eduzones Elibrary, สารานุกรมฟรี

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคอินเทอร์เน็ต พวกเราได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินจากมัน เช่น ได้เล่นเกมออนไลน์ , ได้ chat กับคนแปลกหน้า , ได้ดูรูปโป๊แบบไม่จำกัด ,ได้หาแฟนใหม่ทางเน็ตวันละ 10 คน ฯลฯ

แต่มีผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านเตือนว่า การหมกมุ่นอยู่กับเน็ต ระวังอันตรายร้อยแปด ทั้งเสียการเรียน ทั้งเสียคน บางทีอาจจะถึงกับได้พบอันตรายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย ที่จริง ก็น่าเห็นใจน้อง ๆ นะ ... เพราะเรียนหนังสือเครียดจะตายไป เลิกเรียนแล้ว ก็น่าจะได้มีโอกาสผ่อนคลายความเครียดกันบ้าง คนจะหาความสุขจากเน็ตสักหน่อย ยังมาห้ามอีก อะไรทำนองนั้น

ทีนี้ตามหลักพุทธศาสนาท่านว่า ความสุขมีสองแบบ คือ แบบ เสพบริโภค (กามฉันทะ ) กับ แบบสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ ) ความสุขแบบเสพบริโภคนั้น เป็นความสุขมีคุณน้อย มีโทษมาก ทำให้หลงเพลิดเพลินไม่เป็นอันทำการงาน มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง เบียดเบียนกัน ร้อนรน กระวน กระวาย ไม่คุ้มค่ากับความสุขเพียงนิด ที่ต้องแลกกับความทุกข์ที่ตามมาเป็นพรวน ๆ

อย่ากระนั้นเลย budpage ขอลองเสนอวิธีหาความสุขอย่างสร้างสรรค์ (ธรรมฉันทะ) จากเน็ตสัก 5 วิธี มาแนะนำกัน แบบว่าให้ได้ทั้งสนุก และ ได้รับสาระไปด้วย ดังต่อไปนี้

1."ชื่นชมความงามธรรมชาติบนเน็ต" เปิดเวบค้นหาภาพธรรมชาติ จำพวก ต้นไม้ ภูเขา วิวสวย ๆ ดวงจันทร์ หรือ ดอกไม้ ฯลฯ พอได้พบภาพที่ถูกใจ ให้คุณมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมพร้อมทั้งกล่าวพรรณาความงามออกมา อาจจะเป็นคำพูดดี ๆ หรือ แต่งเป็นกลอน หรือแต่งเป็นเพลง ก็ได้ หากคุณลองทำดูแล้วคุณรู้สึกว่าจิตใจของคุณมีความแช่มชื่นเบิกบาน จนอยากออกไปพบเห็นธรรมชาติจริง ๆ ข้างนอก ละก้อ...แสดงว่าคุณได้ เข้าถึงความงามของธรรมชาติบ้างแล้ว





2. "พรรณาความงามของงานศิลปะ" อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน ให้ search ค้นหาภาพงานศิลปะต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในอินเทอร์เน็ต คัดเลือกภาพที่ถูกใจสักภาพ แล้วให้คุณ พรรณาความงามของงานศิลปะชิ้นนั้น โดยสมมุติตัวเองว่าเป็นศิลปินกำลังบรรยาย ให้ผู้ชมฟัง พรรณาเข้าไปเถอะ หรือจะใช้วิธีพิมพ์บรรยายลงในคอมพ์ก็ได้ ทำอย่างนี้สักประเดี๋ยวจิตใจของคุณก็จะเกิดความปีติสุข เพราะได้เข้าถึงความงามของศิลปะ




3.มีความสุขกับการเป็น"พหูสูต " "พหูสูต" แปลง่าย ๆ ว่า"ผู้รอบรู้" คือ ไม่ว่าจะพบเห็นอะไร ก็จะมองเห็นเป็นความรู้ไปหมด สามารถ อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง

นิสัย"พหูสูต" นี่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หากฝึกฝนเป็นประจำ ยิ่งสมัยนี้มีอินเทอร์เน็ตยิ่งง่ายใหญ่ วิธีง่าย ๆ เริ่มต้นด้วย ทุก ๆ วัน ก่อนจะเปิดเน็ตให้ลองเหลียวมองสิ่งต่างๆ รอบตัวคุณ แล้วตั้งคำถามกับตัวเอง "วันนี้เราอยากจะรู้เรื่องเกี่ยวกับอะไร" เมื่อเราได้พบสิ่งที่น่าสนใจแล้ว ก็ให้ค้นในอินเทอร์เน็ตว่าเราได้รับความรู้อะไรจากสิ่งนั้นบ้าง

ยกตัวอย่าง เหลียวไปเหลียวมารอบ ๆ ตัว ก็พบว่าวันนี้ เราอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ "ปากกาลูกลื่น"ที่วางอยู่บนโต๊ะ เราก็พิมพ์ คำว่า"ปากกาลูกลื่น" หรือ ball-point pen ลงในเวบไซต์ประเภท search engine ( เช่น google.com ,siamguru.com ฯลฯ) จากนั้นก็ให้คัดเลือกหาอ่านเรื่องราวที่มีความรู้เกี่ยวกับ"ปากกาลูกลื่น" เก็บเกี่ยวสาระให้ได้มากที่สุด จนเราสามารถคุยเรื่องปากกาลูกลื่นได้เป็นชั่วโมง ๆ (แววพหูสูตเริ่มปรากฏ) วันต่อ ๆ มาก็ให้มองหาสิ่งอื่น รอบๆ ตัวเพื่อค้นหาความรู้อีก ลองตั้งเป้าไว้เลยว่า จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งของที่มีอยู่ในบ้านให้หมดทุกอย่าง หากใครทำได้ ถือว่าได้เป็นผู้รอบรู้คนหนึ่งในบ้านเลยทีเดียว




4. สารานุกรมภาพ มาสะสม"ภาพความรู้"กันดีกว่า (รับรอง สนุกว่าสะสมรูปโป๊ ) กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ท้าทายมาก เพราะมีคนฉลาดๆเท่านั้นเองที่สามารถทำได้ วิธีการง่าย ๆ ก็คือให้ท่องเว็บไปเรื่อย ๆ ทีนี้เกิดไปเจอภาพอะไรที่เขามีคำอธิบายเกี่ยวกับภาพนั้น ๆ เราก็ลองอ่านดู ถ้าเรื่องราวน่าสนใจ อ่านแล้วเราเข้าใจ ประทับใจ ก็ให้ save ภาพนั้นเก็บไว้ในอัลบั้มภาพในเครื่องคอมพ์ของตนเอง ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนเรามีคลังภาพแห่งความรู้เก็บไว้มากมาย ( ทุกภาพก่อน save เราจะต้องอ่านเนื้อหาคำอธิบายจนเข้าใจภาพนั้นได้ดีก่อน ไม่ใช่ เก็บแต่ภาพแต่ไม่ยอมเก็บความรู้) ยกตัวอย่าง

เปิดเวบไปเห็นภาพ"เหตุการณ์ 14 ตุลา" เราก็อ่านเรื่องราวบรรยายภาพนั้นจนเข้าใจ ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในปี พ.ศ. 2516 จากนั้นให้save ภาพนั้นเก็บเอาไว้ หรือ ไปพบภาพ "super nova" (ดาวระเบิด) เราก็อ่านจนเข้าใจเนื้อหาสาระของภาพ แล้วก็เก็บภาพไว้

ทีนี้เวลาได้ภาพเก็บไว้ในอัลบั้มมากพอเพียงแล้ว เวลาว่าง ๆ ให้คุณลองจัดแสดงภาพแบบสไลด์โชว์ บรรยายให้เพื่อนฝูงฟัง รับรองว่าคุณจะกลายเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ สามารถให้ความรู้และความสนุกสนานกับเพื่อน ๆ จนบรรดาเพื่อน ๆ จะต้องทึ่งในตัวคุณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว




5. "เก็บคำคม" ในเว็บบอร์ดบนอินเทอร์เน็ตมีคำคม ๆ สำนวนดี ๆ มากมาย อ่าน ๆ แล้ว ให้เลือกสรรคำที่โดนใจ เอามาสะสมไว้ในไดอารี่ของเรา จะได้เก็บไว้อ่านประเทืองปัญญา จริงอยู่ในเว็บบอร์ดส่วนใหญ่อาจจะมีคำพูดที่ไม่เหมาะสมมากมาย เช่น คำหยาบ คำส่อเสียด ด่าว่า กระทบกระเทียบ แต่ในคำพูดเหล่านี้บางครั้งก็มีสาระสอดแทรกอยู่ เราสามารถเลือกสรรสิ่งที่ดีๆ คือ เลือกเฟ้นสิ่งที่ เป็นเนื้อหาสาระออกมา ( คุ้ยหาเพชรจากกองขยะ ) คุณทราบหรือไม่ว่าคำพูดของคนบางคน (แม้แต่คำพูดของคนที่สติไม่ดี ) บางครั้งจะให้แง่คิดดี ๆ ที่ช่วยปรับปรุงชีวิตของเราให้พัฒนาขึ้นมาได้ ลองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่าการสะสมข้อความดี ๆ มีสาระ มีความสนุกสนาน และมีคุณค่า ไม่น้อยกว่าการสะสมพระเครื่อง หรือ ตุ๊กตาโมเดลราคาแพง ๆ เสียอีก


ที่มา www.dek-d.com

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

ศีล 5 (ลึกซึ้งกว่าที่คุณคิด)

ศีล 5 ความหมายลึกกว่าที่คุณคิด

ศีลข้อที่ ๑ งดเว้นการฆ่าสัตว์
(ปาณาติปาตา เวรมณี)

การฆ่า มิใช่นำมีดไปฆ่าคน ฆ่าสัตว์ จึงเรียกว่าฆ่า จิตใจเริ่มคิดไม่ดี สิ่งที่ละเอียดอ่อนบางแง่มุม มิได้ระมัดระวังจะก่อเกิดการช่วยเสริมการฆ่าขึ้น
การฆ่ามีหลายวิธี ฆ่าตัวตาย ถูกเขาฆ่า สรรเสริญเห็นดีเห็นงามกับการฆ่า เห็นสิ่งมีชีวิตถูกฆ่าพลอยยินดีด้วย เป็นการฆ่าทั้งหมด
อย่าใช้ภาวะสำนึกของตัวเองปลูกเมล็ดพันธุ์อัตวินิบาตกรรมขึ้น มิฉะนั้นเจ็ดชาติที่เกิดจะมีผลทำให้เราทำอัตวินิบาตกรรมตามมาทุกชาติ คนหนุ่มสาวมีเรื่องคิดไม่ตก ไม่สามารถเกิดวัน เดือน ปีเดียวกัน แต่พร้อมที่จะตายวัน เดือน ปี เดียวกัน ไม่นานอาจจะมีทารกแฝดที่ร่างติดกันมาเกิด
ให้ความสำคัญของความรักมาทำลายชีวิต เพื่อช่วยชีวิตต้องถือศีลปาณาติบาต หมื่นวิถีพระโพธิสัตว์ มหาเมตตาเป็นรากฐาน จึงต้องถือศีลปาณาติปาตา
ถ้าคนทั้งหลายถือศีลงดเว้นการฆ่า กินเจทั้งหมด ไม่นานเบญจธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรมิต้องฉีดยาฆ่าแมลง เหมือนเมื่อหลายพันปีสมัยกษัตริย์เหยา กษัตริย์ซุ่น ในสมัยนั้นแม้จะไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง แต่เบญจธัญพืชอุดมสมบูรณ์ดี
ผู้ที่ขายยาฆ่าแมลงเพื่อช่วยให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวธัญญาหารได้มาก แต่ได้ฆ่าแมลงมากมาย เวรกรรมยังอยู่ กรรมสนองกรรม กรรมมีสนองทันทีทันตาเห็น หรือสนองในชาติต่อๆ ไป บางทีผ่านไปหลายชาติมาสนองก็มี เหมือนเราปลูกผักเก็บเกี่ยวได้เร็วหน่อย ถ้าปลูกผลไม้ต้องรออีกหลายปี นี่ก็เช่นกัน
มีคนมาบอกจะทำแท้ง เรากลับสนับสนุน ดีๆ เอาออกเลย เท่ากับเราสนับสนุนการฆ่า กรรมสนองกรรม
เห็นคนจัดงานเลี้ยงเธออาจจะพูดว่า มีการฆ่าสัตว์มากมายดีจังเลย หากลูกหลานจัดงานเลี้ยงแต่งงาน จัดเลี้ยงอาหารเนื้อสัตว์ ถ้าเธอเห็นด้วยนั่นเท่ากับการช่วยส่งเสริมการฆ่า
ขายยาสมุนไพรจีน หากมีสัตว์เป็นส่วนผสมกับยาด้วย ต้องรู้ว่ายานี่ใช้เพื่อรักษาโรค ไม่พึงประสงค์ให้กระทำผิดเกิดการฆ่าขึ้นมา แต่อย่าสนับสนุนให้เขาตุ๋นเป็ดตุ๋นไก่ หากถูกสอบถามขอคำปรึกษา ต้องอย่าแนะนำ มิฉะนั้นจะถือว่าสนับสนุนการฆ่าต้องรับเวรกรรมเอง
หากใครถูกนักเลงอันธพาลฆ่าผิดตัว นั่นแหละอดีตชาติหลายกัปเคยสนับสนุนการฆ่า จึงเกิดกรรมสนองตามมา
ซื้อยาสมุนไพรจีน หากใบสั่งยามีส่วนผสมของสัตว์ นี่เพียงเพื่อรักษาโรคเท่านั้น รักษาหายแล้วต้องหยุดทันที อย่านำมาเป็นยาบำรุงต่อและต้องไม่ขอให้หมอเพิ่มส่วนผสมของสัตว์
ขายยาแผนปัจจุบัน ยานอนหลับ ยาที่มีส่วนผสมสิ่งเสพติด ต้องรับผิดชอบต้องระวังในการขาย ในมรรคแปด (八正道) เรื่องสัมมาอาชีพ จะเลือกอาชีพ ต้องเลือกอาชีพที่ไม่เกี่ยวกับการฆ่า
เห็นคนกำลังฆ่าสัตว์อย่ามองแล้วพลอยยินดีกับการฆ่าด้วย อย่าบอกว่าเนื้อชนิดนี้รับประทานอร่อย บำรุงร่างกายได้ดี ไปเป็นแขกอย่าให้เจ้าของบ้านต้องฆ่าสัตว์เพื่อต้อนรับเรา
อย่าค้าขายมีดพร้าของมีคม ศัสตราวุธ เป็นเครื่องมือในการฆ่า ผู้ประกอบอาชีพประเภทนี้จะมีเวรกรรมตามติดสนอง
ผู้ประดิษฐ์คิดเครื่องจักรกล เครื่องประหารด้วยไฟฟ้า ทุกๆ ชาติจะไม่มีลูกไม่มีหลานสืบตระกูล อย่าไปริเริ่มคิดสร้างเครื่องประเภทนี้
อย่ามีอาชีพขายโลงศพ คนขายโลงศพหากขายไม่ดี มักจะไปเคาะข้างโลงศพขอให้มีคนตาย เท่ากับมีจิตใจไม่ดี ซื้อโลงศพช่วยคนตายได้ แต่อย่ามีความคิดอยากให้มีคนตาย
อย่าซื้อของใช้ที่ทำด้วยหนังแท้ เช่นเสื้อหนัง รองเท้าหนัง เข็มขัดหนัง กระเป๋าหนังที่มาจากเมืองนอก เป็นหนังแท้ราคาแพง ผู้ศึกษาธรรมะอย่าไปชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้ดีที่สุด หากเผลอไปซื้อมาใช้ก็จงทิ้งไปเสีย แต่หนังเทียมใช้ได้
มิงค์เป็นสัตว์ที่มีเมตตาจิต เห็นคนถูกฝังจมอยู่ในกองหิมะกำลังจะหนาวตาย มิงค์จึงใช้ขนของตัวเองไปทำให้มีความอบอุ่นไม่หนาวตาย พรานล่าสัตว์จึงใช้วิธีหลอกโดยทำทีจมอยู่ในกองหิมะ มิงค์ใช้ขนของตัวเองให้ความอบอุ่นจึงถูกล่าเอาหนังทำเสื้อคลุม สัตว์มีจิตเมตตาแต่มนุษย์กลับทารุณเหิว้ยมโหด ผู้ศึกษาธรรมะต้องอย่าใช้เสื้อคลุมที่ทำจากขนมิงค์
ให้เขายืมเงินต้องระวัง ไม่รู้ว่าเขาจะยืมไปใช้อะไร จะผิดบาปเท่ากับการช่วยให้เขาฆ่า เช่น นำไปทำแท้ง
บริจาคเงินทำบุญจะต้องใช้ปัญญา บางศาลเจ้าใช้เงินที่เราบริจาคฆ่าหมูไหว้เจ้า งานเลี้ยงที่ใช้เนื้อสัตว์ เราจะต้องมีส่วนรับกรรมสนองด้วย หากศาลเจ้าใดใช้อาหารเจไหว้เจ้า นั่นไม่มีปัญหา
อย่ามีอาชีพขายเบ็ดและคันเบ็ดตกปลา ปลาที่ตกได้จะมาคิดบัญชีกับเธอด้วย
ฆ่าปลาไข่เต็มท้อง กรรมจะหนักกว่าฆ่าปลาทั่วๆ ไป ไข่หนึ่งฟองเท่ากับหนึ่งชีวิต
ที่ขายหมูปิ้ง หมูย่าง หมูจะติดยึดกับเนื้อของตัวเอง จะเฝ้ารอเนื้อชิ้นสุดท้ายถูกกลืนลงไปแล้วจึงจะยอมไป
คนฆ่าหมูจะกล่าวว่า หมูนะหมู มันไม่แปลกหรอกที่เจ้าเป็นอาหารของมนุษย์ หากไม่มีใครกินเจ้าข้าก็คงไม่ต้องมาฆ่า ไปคิดบัญชีกับคนที่กินเจ้าแล้วกัน
คนกินกลับพูดว่า หมูนะหมู มันไม่แปลกหรอกที่เจ้าเป็นอาหารของมนุษย์ ถ้าไม่มีใครฆ่าเจ้ามาขาย ข้าก็คงไม่ซื้อมากินหรอก ไปคิดบัญชีกับคนฆ่านะ ทุกคนรู้ว่าการฆ่าเป็นบาป แต่เว้นการฆ่ากลับยาก
ปัจจุบันการแพทย์เจริญก้าวหน้า โรคแปลกๆ ยิ่งมายิ่งมาก ต้องหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เวรกรรมจึงจะแปรเปลี่ยนไป
ฉีดยาฆ่าแมลงไม่ดี แมลงต่างๆ ต้องการมีชีวิตอยู่ ขอเพียงแต่บ้านช่องทำความสะอาดให้เรียบร้อยจะไม่มีแมลงต่างๆ มารบกวนหรือมีน้อยลง ยิ่งฆ่ายิ่งกรรมหนัก แมลงยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เสือที่มนุษย์ไม่เคยกินมันเลย กลับไม่เพิ่มจำนวนมากขึ้น เป็ด ไก่ หมู คนบริโภคจำนวนมาก จึงเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น
กรรมของการฆ่ามีหนักมีเบา เช่น มาตุฆาต ปิตุฆาต อรหันตฆาต เป็นอนันตริยกรรม ตกมหาอเวจี ตัดทางสวรรค์นิพพาน ฆ่าคนบาปหนัก ฆ่าสัตว์บาปยังเบาหน่อย สติไม่ดีไปฆ่าคน เพื่อปกป้องพระอริยเจ้า เพื่อช่วยคนส่วนมาก จึงมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น กรรมเบาหน่อย แต่ก็ยังก่อเกิดหนี้กรรมได้ เพราะมนุษย์ปุถุชนมีโอกาสสำเร็จพุทธะได้มาก การฆ่าคนจึงกรรมหนัก แต่สัตว์ยังห่างไกลจากการสำเร็จเป็นพุทธะ ฆ่าสัตว์จึงกรรมเบากว่า
มักมีคนกล่าวว่า เป็ด ไก่ เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ หากไม่กิน เป็ดไก่ก็คงจะต้องล้นโลก เสือกินคน ยุงดูดกินเลือดคน เรายอมให้เสือกิน ยอมให้ยุงดูดกินเลือดไหม ใจเขาใจเราลองคิดดู จึงจะไม่ทำให้เราผิดพลาดได้
รูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บูชา เมื่อเก่าแล้วหรือขาดสลาย ต้องม้วนเก็บให้ดี อย่าเผาทำลาย หากเผาทำลายปะปนกับเถ้าขยะนั่นไม่ดี เท่ากับไม่ให้ความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ถ้ามีคนในบ้านจะฆ่าเป็ดไก่ จะต้องพยายามพูดให้เขาเหล่านั้นงดการฆ่า หากพูดแล้วยังไม่ได้ผล ต้องท่องสวดนามพระอมิตตพุทธ ท่องคาถาจุติสุขาวดี (往生咒)
ตั้งปณิธานทานเจแล้ว สัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยงไว้ก่อนหน้านั้น ต้องเลี้ยงจนสัตว์เลี้ยงเหล่านั้นหมดอายุขัยไปเอง จัดการฝังให้เรียบร้อย พร้อมกับสวดมนต์ให้สัตว์ไปเกิดใหม่ อย่านำสัตว์ที่เลี้ยงไว้ไปขายหรือให้คนอื่น ไม่ควรนำไปให้คนอื่นฆ่า
หากผิดพลาดไปก่อฆาตกรรมเข้า จะต้องทำบุญอุทิศกุศลไปให้เขา มิได้ตั้งใจฆ่ากรรมเบา ตั้งใจฆ่ากรรมหนัก
คนกินเจซื้อของกินจะต้องถามให้ชัดเจน ไม่ชัดเจนผิดพลาดกินเข้าไป กลับมาจะต้องจุดธูปกำใหญ่ขอขมากรรมสำนึกบาป
นายจ้างใช้ให้ไปซื้ออาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ หากขัดไม่ได้หรือปฏิเสธไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจสิ่งที่เราไปซื้อ เราจะไม่เกี่ยวข้องด้วย
ทำบุญวันเกิดควรงดเว้นการฆ่า การเกิดของเธอมิใช่ใหญ่โตครึกโครม แต่กลับฆ่าสิ่งมีชีวิตมากมาย ด้วยหลักธรรมมิควรปฏิบัติ
บรรพบุรุษหมดอายุขัย ทำบุญโดยใช้อาหารเจดีที่สุด อย่าฆ่าสัตว์ หากทุกคนในครอบครัวยังไม่ได้กินเจทั้งหมด ถ้าจะให้ดีต้องกินเจ 49 วัน สามีภรรยาแยกเตียงนอน 49 วัน ถ้าทำได้จะลดเวรกรรมให้กับผู้วายชนม์ได้
บนหัวหมู เท่ากับเราเริ่มนำความยุ่งยากเข้ามา ยังไม่มีผลตามที่เราบนไว้ เริ่มก่อกรรมก่อนแล้ว หน้าโต๊ะพระอย่าบนบานตามอำเภอใจ
กราบไหว้บรรพบุรุษ ใช้ดอกไม้ ธูปเทียน ผลไม้ น้ำชา มีจิตเคารพบูชาก็พอ ไม่ควรนำเป็ด ไก่ ปู ปลา เซ่นไหว้ด้วยเหล้า รังแต่เพิ่มกรรมให้ท่าน ประเพณีที่ไม่ดีอย่าทำตาม
เสวยสุขคือทอนบุญ ได้รับความทุกข์คือลดเคราะห์ภัย กินเจแล้วสุขภาพยังไม่ดี นั่นคือหนี้กรรมอดีตชาติยังไม่หมด
หากธุรกิจการงานของเขายังไม่ดีไม่ราบรื่น ร่างกายไม่แข็งแรงเจ็บไข้ได้ป่วย อย่าพูดว่าเขายังมีกรรมหนักอยู่ คำพูดนี้จะทำลายจิตโพธิสัตว์ของเขา เท่ากับเราผิดศีลปาณาติบาต ต้องระวังคำพูด ใช้วาจาอ่อนหวานนุ่มนวลและให้กำลังใจเขาจะดีกว่า

กรรมสนองจากการฆ่าสัตว์

ต้องตกนรกสามภูมิ คือ สัตวนรก เปรต อเวจี
คนเราเจ็บออดๆ แอดๆ อายุสั้น เจ็บป่วยบ่อยต้องปล่อยสัตว์ให้มากหน่อย ปล่อยสัตว์มีสองอย่าง คือ หนึ่งปล่อยสัตว์ที่อยู่ข้างนอก สองปล่อยสัตว์ที่อยู่ข้างใน คือปล่อยวางในใจที่ยึดติด ปล่อยทิ้งอนุสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากจิตใจเรา
สิ่งกระทบจากภายนอก ตัวอย่างเช่นการค้ายิ่งทำยิ่งขาดทุน อยู่ในสังคมบุญสัมพันธ์กับผู้คนลดน้อยลง
จิตใจคิดร้ายอยู่ตลอดเวลาทุกๆ ชาติไม่มีหยุด ฆ่าหมูนานวันหน้าตาเหมือนหมู ฆ่าไก่นานไปหน้าตาเหมือนไก่ ในจิตสำนึกทุกครั้งที่คิดๆ แต่การฆ่า
จิตใจขลาดกลัว เจ็บป่วย เดินในที่มืดมักหวาดกลัวและฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา
เพิ่มความเกลียดชัง ถูกผู้คนตำหนิทอดทิ้ง ไม่มีบุญสัมพันธ์กับผู้คน
ก่อนหมดลมหายใจหวาดกลัวว่าจะตายไม่ดี กรรมที่ฆ่าหนักมากใกล้ตายเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวง ขณะจะตายส่งเสียงร้องน่ากลัว เหมือนธนาคารปิดบัญชีตอนสิ้นปีถูกตามทวงหนี้


ผลจากการถือศีลปาณาติบาต

อภัยทานให้สาธุชนปราศจากความหวาดกลัว
เกิดเป็นคนไม่ค่อยเจ็บป่วย อายุยืน
ก่อจิตเมตตามากขึ้น กิเลสลดน้อย
ตัดความโกรธ
ใกล้ชิดสนิทสนมกับสาธุชน เทพผีคอยปกปักรักษา ถือศีลหนึ่งข้อมีเทวดาหนึ่งองค์คอยคุ้มครอง
ไม่ฝันร้ายนอนหลับสบาย
ชาติหน้ามั่งมีศรีสุข
แก้ปมกรรมเวร ผูกบุญสัมพันธ์ที่ดี
ไปเกิด ณ แดนพุทธเกษตร


ศีลข้อที่ ๒ งดเว้นการลักขโมย
(อทินนาทานา เวรมณี)

ปัจจุบันสังคมวุ่นวาย โจรขโมยมากมาย นักการศึกษา นักการศาสนา ต้องเพิ่มภาระในการสั่งสอนมากขึ้น
ขโมย ลักเล็กลักน้อย ปล้น หลอกลวง ขู่เข็ญบังคับเพื่อให้ได้มา ขู่เข็ญเอาเงินโดยอ้างว่าจะเผยความลับ ทั้งหมดล้วนผิดศีลอทินนาทาน
ผู้ศึกษาธรรมะมักจะทำผิดได้ง่ายที่สถานที่สาธารณกุศล คือ
มาตำหนักพระจุดธูปไหว้พระ โดยใช้ธูปจากตำหนักพระภาวนาขอ หรือแก้ข้อกังวลใจ ยังไม่ได้ทำบุญเลยกลับหยิบของตำหนักพระมาใช้ เจ้าของตำหนักพระคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระพุทธะ มิใช่อาวุโสในนั้น จะจุดธูปกำใหญ่ ต้องซื้อหามาเองจะดีกว่า ตัวเองอย่าเอาแต่ได้
ใช้โทรศัพท์ในสถานที่สาธารณกุศล จะต้องจ่ายค่าโทรศัพท์ด้วย
อุทิศแรงกายช่วยทำครัว ขณะประกอบอาหารชิมอาหารหนึ่งคำ แต่อย่าโลภไปชิมหลายคำเข้า
ของใช้ส่วนรวมในตำหนักพระเกิดจากผู้มีจิตศรัทธานำมาบริจาค เป็นสมบัติของตำหนักพระ ต้องช่วยกันดูแลรักษา
ซื้อของมาบริจาคให้ตำหนักพระ อย่าหยิบฉวยติดมือกลับบ้าน ไม่ดี
หลังจากการประชุมธรรม มีอาหารเหลือนำกลับบ้านได้ โอกาสหน้าซื้อของใหม่ในราคาไม่ต่างจากที่เอากลับบ้านมาทำบุญด้วย
ผลไม้ซื้อมาถวายพระ อย่าเอามากินก่อน ของที่ซื้อมาไหว้พระเป็นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของพระพุทธทั้งหมด อย่าถือวิสาสะ
ญาติธรรมนำเงินมาบริจาค ผู้มีจิตศรัทธานำเงินมาทำบุญเพื่อจุดประสงค์ใด จะต้องนำไปใช้ในทางที่เขามีเจตจำนงไว้ ถ้าบอกไว้ว่าใช้สำหรับซื้อธูปไหว้พระ ก็ต้องซื้อธูปไหว้พระ ถ้าบอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน ต้องนำไปใช้จ่ายตามที่มีเจตนาไว้
อุปกรณ์ใช้ทำความสะอาดสถานที่สาธารณกุศล จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามแต่ละเครื่องมือที่ใช้และต้องรักษาให้สะอาด ตัวอย่างเช่นไม้กวาดที่ใช้ปัดกวาดสถานที่สาธารณกุศล อย่านำไปใช้ในครัว อย่านำไปใช้ในห้อง อย่านำไปใช้ในห้องน้ำ
ดอกไม้นำมาไหว้พระอย่านำมาดม ผ่านการดมแล้วจะไม่บริสุทธิ์ จะนำมาไหว้พระมิใช่นำมาให้ดมกลิ่น หอมหรือไม่หอมสิ่งศักดิ์สิทธิ์รู้เองมิต้องให้เรามาดมก่อน
เป็นพนักงานของรัฐอย่าหยิบฉวย กระดาษ ซองจดหมาย ปากกา หมึกแห้งของราชการกลับบ้าน จะกลายเป็นขโมยของราชการ ทำงานบริษัทฯ ก็เหมือนกันต้องอย่าทำด้วย
สอนให้หลีกเลี่ยงภาษี โทรศัพท์ไม่จ่ายเงิน ส่งสิ่งตีพิมพ์ทางไปรษณีย์กลับสอดจดหมายเข้าไปด้วย โดยสารรถโดยสารเรือไม่จ่ายค่าโดยสาร ทั้งหมดคือการลักขโมยของราชการ
ขายของจะต้องออกใบเสร็จรับเงินด้วย หากผู้ซื้อกับผู้ขายตกลงกันโดยซื้อได้ราคาถูกลงไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงิน ทั้งสองฝ่ายลักขโมยของราชการ

กรณีที่ไม่ถึงกับถือว่าลักขโมย

เข้าใจผิดคิดว่าเป็นของตัวเอง ตัวอย่างเช่น ตัวเองมีร่มหนึ่งคัน ขณะหยิบไปใช้หยิบผิดไป
เข้าใจผิดคิดว่าของสิ่งนี้มีคนฝากมาให้แล้วนำกลับไป
ขยะคิดว่าเขาทิ้งแล้ว เราไปเลือกที่ใช้ได้แล้วนำกลับไป
ยืมใช้ชั่วคราว เช่นโทรศัพท์หรือหมึกแห้ง ใช้เสร็จแล้วต้องนำกลับที่เดิม
สนิทสนมกัน ตัวอย่างเช่น เพื่อนที่ดีและสนิทกัน เปิดตู้เย็นหยิบของในตู้เย็นกินเหมือนกับบ้านตัวเอง ถ้าเช่นนี้ก็มักง่ายเกินไปหน่อย
ลักขโมยมีหนักมีเบา ขโมยของจากตำหนักพระโทษหนัก แม้เข็มหนึ่งเล่ม ด้ายหนึ่งเส้นก็อย่าได้มักง่าย เพราะเป็นของส่วนรวมมิใช่ของคนใดคนหนึ่ง
กลับกัน ผู้ทำบุญกับตำหนักพระ เป็นประโยชน์กับผู้ศึกษาธรรมะ บุญวาสนาเหลือล้น
ทำบุญไปแล้วอย่าได้ยึดติด ที่ได้ทำไปเบื้องบนรับรู้หมด ไม่ต้องนำกลับมาคิดอีก ไม่จำเป็นต้องสลักชื่อติดไว้ที่เสาตำหนักพระให้คนกราบไหว้ทุกๆ วัน บุญวาสนามากปานใดก็อาจหมดได้ อยากหลุดพ้นจากหนี้เวรหนี้กรรม จะต้องหัดปล่อยวางใจไม่ยึดติด ให้เหมือนจรวด ยิงออกไปแล้วพุ่งทะยานหายลับไปเลย
หนีแชร์โกงเงินชาวบ้าน เกิดชาติหน้าเป็นสุนัขเฝ้าบ้านเหมือนคนใช้ เกิดเป็นหมู สมมุติขายได้ตัวละหมื่นบาท หนีแชร์หนีหนี้จำนวนเงินเท่าไร ต้องเกิดเป็นหมูชดใช้ตามราคาที่โกงไปจนครบ ขายของเงินผ่อนคิดดอกแพงก็คือขโมย
มาตำหนักพระกินข้าวที่ตำหนักพระได้ กระดาษชำระ ยาสีฟัน ของใช้ประจำวันเอามาใช้ได้ แต่ต้องอย่าตระหนี่ ทำบุญกับตำหนักพระมากหน่อยก็ใช้ได้
เก็บเงินได้บนถนนที่คนอื่นทำหล่นหาย นำมาทำบุญถือว่าไม่ผิดศีล ถ้าเอาเข้ากระเป๋าตัวเองไม่ได้
ลักขโมยละเอียดอ่อนที่สุดในศีลห้า ศีลของพระภิกษุยิ่งละเอียดอ่อนกว่ามากนัก



กรรมสนองจากการผิดศีลลักขโมย

ตกลงสู่นรกสามภูมิ คือ สัตวนรก เปรต อเวจี
เกิดมายากจนตกต่ำหรือมีทรัพย์สมบัติแต่ไม่มีโอกาสใช้
ทรัพย์สมบัติบ้านเรือนถูกวาตภัยทำลาย ไฟไหม้เผาผลาญ
ของหาย ของถูกขโมย ถูกสงสัยเป็นคนขโมย
เป็นคนทุกข์ทรมาน จิตใจวิตกกังวล

ผลจากการรักษาศีลอทินนาทาน

ทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนมากมาย ไม่รั่วไหล
เป็นคนน่ารัก เป็นที่เชื่อถือ
ความดีขจรขจาย คนชมเชยมากมาย
เป็นที่เกรงขามไม่กล้ารังแก
กายใจเป็นสุข หมดอายุไปเกิดบนสวรรค์วิมาน


ศีลข้อที่ ๓ งดเว้นการละเมิดกาม
(กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี)

อิ่มนักมักมุ่นคิดทางกามารมณ์ ความผิดทั้งหลายผิดศีลกาเมเลวที่สุด สังคมวัตถุอุดมสมบูรณ์ จะพาให้สังคมคุณธรรมตรงข้ามกับความเจริญ
คนโบราณรับประทานอาหารชืดๆ ไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนปัจจุบัน แต่ทุกคนร่างกายแข็งแรงอายุยืน ปัจจุบันอาหารทะเล บนบก บนอากาศ หารับประทานเรียบหมด กลับไม่แข็งแรง
รับประทานอิ่มท้อง ความคิดฟุ้งซ่านเริ่มก่อ ความไม่ดี อะไรเลวๆ ทำหมด ในโลกโลกีย์นี้ช่างน่าสงสาร
สมัยก่อน ไป๋เล่อเทียน ถามอาจารย์รังนกว่า ท่านนอนหลับอยู่บนต้นไม้ เวลาหลับจะตกจากต้นไม้ไหม แต่เขากลับไม่ได้คิดว่าตัวเองอยู่บนโลกโลกีย์นี้จะพลัดตกต่ำลงหรือเปล่า
มีคนรับประทานจนจุกตาย สนุกสนานจนตัวตาย แต่ไม่เคยมีใครบำเพ็ญจนตัวตาย
ในโลกนี้ที่ผูกมัดคนที่สุด คือ กามราคะ ร้ายกว่าบรรดาพิษร้ายทั้งหลายมาก หากตัดไม่ขาดจะเวียนว่ายทุกชาติภพ
พระพุทธทุกพระองค์ มองเรื่องกามตัณหาเป็นเรื่องสกปรกโสโครกที่สุด
บำเพ็ญพระโพธิสัตว์ธรรม ตัวเองจะต้องรู้จักสังวร
ศีลกาเมมิใช่ต้องตัดขาดการเป็นสามีภรรยา การเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามหลักธรรม ถูกต้องตามจริยา นอกเหนือจากการเป็นสามีภรรยาแล้ว ไปมีความสัมพันธ์กันผิดศีลกาเม ใช้เงินทองซื้อหาแลกเปลี่ยนเพื่อกามสุขก็ผิดศีลข้อนี้ ความสัมพันธ์กันมิใช่คู่สมรส เป็นต้นเหตุปัญหาของสังคม ต้องตัดให้ขาด
กามตัณหาเกิดขึ้น ญาติทั้งหก (六親) มิยอมรับ ทำผิดศีลธรรมจรรยา ผิดมนุษยธรรม ทำผิดกฎหมายด้วย
สมัยโบราณผู้ออกบำเพ็ญตามป่าเขา ประพฤติผิดในกาม แม้กระทั่งลิง แพะ
กามราคะเปรียบเหมือนไฟ ลุกเผาไหม้ยากที่จะแก้ไข จะตัดรากเหง้า ต้องเริ่มจากแปรเปลี่ยนจิตใจให้สะอาดก่อน ให้จิตเกิดความสงบ อย่ารับประทานอิ่มจนเกินไป อยู่บ้านเดินเท้าเปล่าดีที่สุด ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นเย็นๆ จะลดไฟราคะลงได้
จะห่างจากกามราคะ จะต้องห่างหรืองดเว้นต่อสิ่งที่ง่ายต่อการชักนำก่อให้เกิดกามราคะ เช่น หนังสือวารสารโป๊-เปลือย เรื่องเริงรมย์ หนัง ทีวี อย่าให้ผ่านเข้าสู่นัยน์ตาดีที่สุด
ผู้ชายที่ชอบดูสิ่งเหล่านี้ ตายแล้วตาจะเน่าเฟะก่อน
หาเวลาอ่านหนังสือธรรมะ ท่องอ่านคัมภีร์ สวดมนต์ เกิดกามตัณหาขึ้น รีบสวดมนต์เพื่อสยบมารร้ายนี้ กามราคะค่อยๆ สงบลง
ตัดกามราคะเหมือนตัดเอ็นตีนวัว เป็นสิ่งที่ยากและทารุณยิ่ง
ปุถุชนที่ยังมีกิเลส ต้องอยู่ในขอบเขต สามีภรรยาเป็นพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างวิสัยมนุษย์ ต้องเคารพเกรงใจกัน หากปล่อยใจให้กำเริบในกามราคะ คงไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน หนึ่งค่ำ สิบห้าค่ำ วันเฉลิมวันสำคัญของพระพุทธพระโพธิสัตว์ ไม่ควรจะมีเพศสัมพันธ์
ระหว่างไว้ทุกข์ สามีภรรยาควรงดเรื่องเพศเว้น 49 วัน ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเป็นความสุขช่วงสั้นๆ จะต้องรักษาสุขภาพร่างกายเป็นสำคัญ เพื่อเป็นพลังในการสร้างครอบครัว เป็นคนต้องรักษาจริยะ มีจริยะจึงจะรักษาระเบียบครอบครัวได้
กามตัณหาเป็นรากของการเกิดตาย หากยังตัดไม่ได้ ยังคงเวียนเกิดเวียนตายอยู่
ยังไม่ได้แต่งงาน ครอบครัวที่เราอยู่ร่วมในปัจจุบันต้องบริหารจัดการงานต่างๆ ให้ดี สามี ภรรยา พ่อแม่ ครอบครัวบริวาร ต่างมีบุญสัมพันธ์จึงได้มาอยู่ร่วมกัน ต้องหาวิธีที่จะทำให้บุญสัมพันธ์นี้กลมกลืนสมบูรณ์ หากชาตินี้ไม่จัดการงานต่างๆ ให้สมบูรณ์กลมกลืน ชาติต่อไปจะมีกรรมสัมพันธ์อีกช่วงหนึ่ง

การแต่งงานต้องแล้วแต่บุญสัมพันธ์ อย่าเที่ยวไปยินดีกับการแต่งงานของแต่ละคู่ ว่าการแต่งงานดีต่างๆนานา เพื่อชักจูงชี้แนะให้เขาได้แต่งงานกัน และอย่าต่อต้านการแต่งงานของคนอื่น แต่ละคนต่างมีบุญสัมพันธ์ที่ต่างคนต้องทำ ตามบุญสัมพันธ์ของแต่ละคนที่ต้องดำเนินตามธรรมชาติ
ต่อหน้าผู้ที่หย่าร้าง ต้องอย่ากล่าวสรรเสริญถึงครอบครัวที่สมบูรณ์ดีพร้อม
อย่าใช้สถานที่สาธารณกุศลเป็นที่ติดต่อสัมพันธ์ความรักกัน เพราะเป็นที่บริสุทธิ์สูงส่ง หากต่างมีบุญสัมพันธ์กัน จะคบหากันนอกสถานที่สาธารณกุศลได้
หนุ่มสาวต้องรักบริสุทธิ์ รักตัวเอง จะแต่งงานต้องได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ก่อน ต้องปฏิบัติถูกต้องตามจริยประเพณี จึงจะเป็นสามีภรรยากันได้ อย่าชิงสุกก่อนห่ามทำผิดจริยระเบียบ
สิ่งที่เป็นพันธะผูกมัดที่สุดคือกามตัณหา หากยากที่จะตัดขาดใช้วิธีปลงอนิจจังทางพุทธเข้าช่วย (ปลงอสุภกรรมฐาน) ร่างกายมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งโสโครก มีขี้มูก ขี้ตา อุจจาระ ปัสสาวะ ฯลฯ เป็นสิ่งสกปรกทั้งหมด
เรามองคนในโลกนี้ว่าในอดีตชาติอาจเป็นพ่อแม่พี่น้องเรามาก่อน สาธุชนที่เกิดมาจากอายาตนหก อดีตชาติก็เคยเป็นพ่อแม่เรามาก่อน มิอาจล่วงเกินได้ ใช้เงินทองซื้อหาแลกเปลี่ยนทางกามสุข ผิดคุณธรรมอย่างยิ่ง
เลี้ยงสุนัขเพศผู้กับเพศเมีย ผสมพันธุ์เอาลูกสุนัขขาย ผู้บำเพ็ญไม่ควรทำ
ขี่ม้าแรงสะเทือนทำให้เกิดกามราคะ เป็นการทารุณสัตว์ด้วย ผู้บำเพ็ญไม่ควรฝึกขี่ม้า


กรรมสนองจากการผิดศีลกาเม

ตกนรกสามภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย เพราะการกระทำเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ผิดศีลธรรมจรรยา
หากเกิดเป็นคน ได้ภรรยาไม่ซื่อสัตย์ไม่บริสุทธิ์ ภรรยาเพื่อนอย่ารังแก หากไม่ละเว้น ภรรยาตัวเองต้องกรรมสนอง อย่าทำลายรังนก รังมด ชาติต่อไปอาจถูกทำลายบ้านแตกได้
กามราคะเป็นเหตุ เกิดตายเป็นผล ถือศีลปฏิบัติโพธิสัตว์ธรรม ต้องตัดด้านนี้ก่อน พระโพธิสัตว์กลัวเหตุ หากยังมีกามคุณเหตุต้นผลกรรมยังไม่ตัด ยากที่จะหลุดพ้นสามภพ พ้นเวียนว่ายได้ จะตัดขาดความเป็นสามีภรรยา ความสัมพันธ์ชายหญิงเป็นเรื่องยากยิ่ง หากถือศีลงดเว้น ปฏิบัติมนุษยธรรมที่ดี แต่งงานถูกต้องตามประเพณีก็ได้ เหตุเพราะกามคุณเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของคน หักห้ามกดทับไว้ ไม่สู้เราตัดขาดเลย


ผลจากการรักษาศีลกาเม

ชีวิตทุกอย่างสมประสงค์ ห่างไกลจากความสับสน มีฌานสมาธิมากขึ้น ก่อเกิดปัญญา
มีศีลกาเม เกิดเป็นคน พ่อแม่ เครือญาติ บุตรภรรยา ครอบครัว บริวาร สะอาดบริสุทธิ์ไม่สับสนวุ่นวาย กตัญญู มีเพื่อนดี ลูกหลานดี เป็นหญิงไม่ด่างพร้อย
ฟ้าคนเคารพนับถือ ได้รับการสรรเสริญ
ตัดกามคุณ เป็นพระพุทธ รูปลักษณ์สง่างาม
หลุดพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย


ศีลข้อที่ ๔ งดเว้นการพูดเท็จ
(มุสาวาทา เวรมณี)

พูดโกหก รวมทั้งปากร้าย ลิ้นสองแฉก คำเยินยอ โกหกหลอกลวง (พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด)
เกิดเป็นคนพูดเก่ง วาทศิลป์แพรวพราว เพิ่มพูนปัญญาให้กับคนฟัง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการพูด เป็นคนที่มีวาทศิลป์คล่องแคล่วคารมฝีปากดี ต้องไม่เป็นคนโกหกหลอกลวงมาก่อนสามชาติ
พูดโกหกหลอกลวงมากเกินไป กรรมที่มาสนองคือ เป็นใบ้หรือพูดไม่ชัด
พ่อค้าง่ายต่อการพูดโกหก ศีลข้อนี้ปฏิบัติได้ยากหน่อย ทางที่ดีต้องคิดว่า เงินที่เราได้กำไรมา เป็นเงินที่เขาจะนำไปกินดื่ม เล่นพนันเที่ยวเสเพล เราได้ทำกำไรมาจากเขา นำไปช่วยเขาทำบุญ ต้องทำจริงด้วย อย่างนี้อาจชดเชยคำเท็จได้บ้าง
ผู้ชายมีคำพูดไพเราะน่าฟัง เป็นคำปลอบใจภรรยา เพื่อสื่อภาษาของความรัก ไม่นับเป็นการโกหก พูดกับหญิงอื่นถือเป็นคำเยินยอ เป็นคำเท็จ
นักการเมืองระหว่างหาเสียงพูดเด็ดขาด กล่าวคำสบถสาบาน ปากพูดจาไว ต้องการเอาชนะรักษาตำแหน่งเอาไว้
ครูอาจารย์สอนให้คนเป็นคนดี แต่กลับไปเป็นพ่อค้าวาณิชย์
ดารานักร้องคุยโวโอ้อวดเสริมแต่งตัวเอง ทั้งหมดผิดต่อการพูดเท็จได้
ฉุดช่วยคนแล้วต้องติดตามส่งเสริม เหมือนตามบริการหลังการขาย ต้องจริงใจไปส่งเสริม อย่าพูดว่า ถ้าเธอรับธรรมะแล้วตั้งตำหนักพระ อาการป่วยเป็นโรคก็จะหายได้
มีความเป็นไปได้มากเท่าไรก็พูดความจริงเท่าที่เป็น อย่าพูดเกินกว่าความจริง นักปรัชญากล่าวไว้ว่า พูดโกหกหนึ่งคำ ต้องพูดโกหกอีกสิบคำมาปิดบังอำพรางคำที่โกหกไว้ พูดโกหกเป็นประจำจนเกิดความเคยชิน กลายเป็นคนชอบพูดโกหก พาให้กลายเป็นภัยออกทางปากจากคำพูด กลายเป็นการฆ่าคนโดยไม่เห็นโลหิต
คนว่างงานไม่มีอะไรทำ บ้านเหนือพูดที บ้านใต้พูดที พูดแต่เรื่องไร้สาระ เสียเวลาไม่เกิดประโยชน์
อย่านำความลับของคนอื่นไปเปิดเผย พูดแต่สิ่งร้ายสิ่งไม่ดีของคนอื่น ผู้หญิงทำผิดข้อนี้ง่ายกว่า ตายแล้วปากจะเน่าก่อน
ศีลมุสาค่อนข้างถือยาก คำพูดในชีวิตประจำวันอย่าไปทำร้ายเขา อย่าใช้คำพูดทำให้เขาเกิดโทสะ อย่าใช้คำพูดปลิ้นปล้อนเกินไป อย่าใช้คำพูดของเราทำให้สามีภรรยาทะเลาะแตกแยกกัน เรื่องของสามีภรรยาเป็นเรื่องระหว่างเขาเอง เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ใช้ลิ้นของเราย้อนกลับเข้าบำเพ็ญ อย่าปล่อยออกมาให้มีเรื่อง ใช้คำพูดให้คนฟังได้ประโยชน์
ใช้คำพูดไม่ไปทำลายคนอื่นแต่ให้คุณ จะผูกบุญสัมพันธ์ได้กว้างขวาง
ผู้มีอาชีพใช้ปากหาสตางค์ ผู้บำเพ็ญต้องระวัง
ทนายความ อัยการ โบราณกล่าวไว้ว่า หนึ่งชาติทำหน้าที่นี้ เก้าชาติเกิดเป็นวัวควาย ผู้รับหน้าที่ดังกล่าวเพียงคำพูดคำเดียวจะให้เขาเป็นหรือตายก็ได้ ต้องระมัดระวังเสียงสะท้อนด้วย ต้องยุติธรรม อย่าให้มีนิสัยการติดสินบน หากอยู่ในอำนาจหน้าที่ให้คุณให้โทษได้ จะทำให้ชีวิตคนผิดพลาดได้
หมอดู ผู้เป็นหมอดูมักกล่าวว่า หากเธอไม่เช่นนี้ ไม่เช่นนั้น จะมีผลอะไรตามมา ฯลฯ อะไรทำนองนี้ นี่คือปากวาจากล่าวร้าย ผู้ประกอบการดังกล่าวนี้ พูดจาต้องผ่อนหนักผ่อนเบา นุ่มนวลละมุน ละไม เสนอแนะพอประมาณก็พอ
อาจารย์ดูภูมิทัศน์ ง่ายต่อการพูดว่าหากเธอยังไม่บำเพ็ญ หลังจากนี้กี่ปี จะเกิดอย่างนั้น เกิดอย่างนี้ เป็นคำพูดเด็ดขาด ทำร้ายคนอื่น
บรรพชนใครเสียชีวิต เชิญนักพรตสวดมนต์ฉุดช่วยส่งวิญญาณ หากนักพรตท่านฉุดช่วยส่งวิญญาณได้จริง พญายมคงจะเกรงกลัวนักพรตแน่ หนี้กรรมที่ผ่านมาสามชาติ บัญชีนี้จะหักลบกันอย่างไร นี่คือวิธีการที่เคยกระทำกันมาเพื่อให้คนมีความสบายใจ หากจะสวดมนต์ ต้องหานักพรตที่ถือศีลกินเจ หากมิได้ถือศีลกินเจกรรมเวรของนักพรตเองกองใหญ่ ตัวเองยังฉุดช่วยไม่หมด แล้วจะฉุดช่วยผู้อื่นได้อย่างไร
สามชาติมิได้พูดเท็จ ลิ้นแลบแตะจมูกได้ โคนลิ้นแดงสีชมพู คนริมฝีปากหนามีธรรมประจำใจดีงาม สตรีที่มีฟันซี่ใหญ่และหนาช่วยสามีบริหารครอบครัวรักษาทรัพย์สมบัติ ฟันห่างเป่าลมลอดออกมาได้ ซี่ฟันเล็กเหมือนฟันหนูเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมมาก ฟันเหลื่อมล้ำไม่เสมอกัน ชาติก่อนพูดโกหกไว้มาก ผู้หญิงเสียงแหลมสูงเป็นคนดุร้าย เสียงต่ำเกินไปเป็นข้อเสียทางกิริยาวาจา หญิงที่มีเสียงนุ่มนวลละมุนละไม เป็นคนมีบุญวาสนา มีสง่าราศี คิ้วยาวกว่าตา ได้รับการคุ้มครองจากคนในครอบครัวและคุ้มครองชนรุ่นหลังได้ด้วย
ผู้บำเพ็ญไม่ดูหมอ ชะตาชีวิตไม่ดีเปลี่ยนแปลงได้ จะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตต้องเริ่มจากจิต หากเปลี่ยนแปลงแต่หน้าตา ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต อวัยวะทั้งห้าไม่น่าดู พูดจาไม่ชัดเจนกำกวม ไม่มีวาทศิลป์ หากรักษาศีลมุสาได้ จึงจะไม่มีอุปสรรค
ถือศีลเจมิใช่เพียงไม่ทานเนื้อสัตว์ ศีลเจปากต้องไม่ปากร้ายลิ้นสองแฉก ไม่เยินยอ ไม่โกหกหลอกลวง
ผู้ชายอย่าออกปากมีแต่คำหยาบ ผู้หญิงด่าสามีด่าลูก อย่าให้มีได้ยินคำด่าทอตลอดเวลา
หากใครมีปัญหาครอบครัวอย่ายุให้เขาหย่าร้างกัน หรือกลับพูดจาทิ่มแทงซ้ำเติม ทำให้เกิดการฆ่าตัวตายขึ้น ไม่เพียงผิดศีลมุสายังผิดศีลปาณาด้วย
เพื่อฉุดช่วยเวไนยหรือช่วยแก้ปัญหาให้เขา โกหกหลอกด้วยความหวังดีไม่ถือว่าผิดศีล
ผู้บำเพ็ญต้องห่างไกลจากการกล่าววาจาร้าย ห่างจากใช้วาจารบกวนทำให้วุ่นวาย อย่าใช้วาจาทำลายให้เขาเป็นทุกข์
อย่าไว้ใจคนมากเกินไป บอกความในใจออกมาหมด เพื่อป้องกันวันข้างหน้า จะถูกนำคำพูดนี้ไปเล่าผิดๆ อยู่ในทุกที่พูดจาให้คุณกับทุกคนดีที่สุด อย่าพูดทางลบของผู้อื่น อย่างนี้จะหลีกเลี่ยงการนำไปเล่าต่อผิดๆ ได้
ลิ้นเป็นอวัยวะที่อ่อนนุ่ม แต่ร้ายกว่ามีดนัก เรื่องไม่ดีมากมายล้วนออกจากปาก อีกทั้งลิ้นเป็นตัวก่อขึ้น เคราะห์ภัยออกจากปาก หยุดเคราะห์ภัยต้องหุบปาก หากจะพูดต้องพูดจาให้มีประโยชน์ หากไม่ระวังกล่าววาจาไม่ดีออกมา ต้องสำนึกขอขมาบาป นำจิตใจที่สำนึกละอายต่อผิดบาปมาแก้ไข
คนผิดหวังต้องการคนมาปลอบใจ ต้องยืนอยู่ในจุดยืนของเขาเพื่อปลอบโยนเขา ถ้าใช้จุดยืนของเรา ใช้ความเห็นของเราเพื่อให้เขายอมรับเท่ากับเข้าข้างตัวเอง
เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นต้องตรวจสอบให้ชัดเจน อย่าตัดสินโดยลวกๆ อย่างเช่นลูกศิษย์ของท่านขงจื้อกำลังต้มข้าวต้มให้ท่านขงจื้อ บนเพดานมีอะไรหล่นลงในหม้อข้าว ลูกศิษย์กลัวท่านขงจื้อรับประทานเข้าไปทำให้ท้องเสีย ใช้มือหยิบขึ้นมา
ท่านขงจื้อเห็นเข้าจึงตำหนิว่าขาดมารยาท ทำไมรับประทานก่อนอาจารย์ ลูกศิษย์จึงได้อธิบายท่านขงจื้อทราบแล้ว
ท่านขงจื้อเรียกประชุมลูกศิษย์ทั้งหมด แล้วบอกให้ทุกคนฟังว่า ข้าพเจ้าได้เห็นกับตาตนเอง ยังปรักปรำคนอื่นได้ สำมะหาอะไรที่มีคนมาเล่าให้ฟัง โดยผ่านจากคนที่สามมาเล่าต่อ ยากที่จะไม่บิดเบือนจากความจริง
ก่อนที่จะตัดสินถูกผิด ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน อย่าฟังความจากการเล่า อย่าเดาโดยมีจิตใจระแวงสงสัย จึงจะไม่เกิดผิดถูกขึ้นมา ทำให้คนถูกสอบล้มหายไป
พระอริยเจ้ายังเข้าใจผิดได้ สามัญชนคนธรรมดาจะเป็นอย่างไร
นักการเมืองมีกรรมสนองกรรมไม่จบสิ้น ผู้บำเพ็ญต้องหนีห่างจากการเมือง อย่าไปร่วมกับเขาออกไปหาเสียง พูดจารบกวนจิตใจคน หากมีญาติเข้าร่วมการเมือง อย่าลงไปร่วมกับเขา
ญาติธรรมหญิงอายุยังเยาว์วัย จะฉุดช่วยคนส่งเสริมคน มีจิตเมตตาก็พอแล้ว อย่าให้เกิดมีความรักใคร่สนิทสนมกันเกิดขึ้น อย่าให้ฝ่ายชายเข้าใจผิดว่าเธอมีความหมายกับเขา หากมีความหมายจริงก็จงคบกันอย่างซื่อสัตย์สุจริต


กรรมสนองจากการผิดศีลมุสาวาทา

ตกนรกสามภูมิ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรตอสุรกาย
มักถูกติฉินนินทากล่าวร้าย ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกกีดกัน ถูกขับไล่
ถูกเขาหลอกลวง ง่ายต่อการถูกฉ้อโกง กล่าวโทษ
วาจาไม่มีคนเชื่อถือ คำพูดไม่มีคนยอมรับ
คำพูดกำกวม ปากแหว่งโดยกำเนิด ไม่มีลิ้น พูดไม่ชัด
ไม่ได้มรรคผล จะบำเพ็ญอย่างไรก็ไม่สำเร็จมรรคผล
กลิ่นปากเหม็น รักษาไม่หาย กลิ่นตัวแรง หากกินเจกลิ่นจะลดลงบ้าง ยิ่งกินเนื้อสัตว์กลิ่นยิ่งรุนแรงหนักขึ้น

ผลจากการถือศีลมุสาวาทา

ปากสะอาดหมดจด กลิ่นปากหอมเหมือนกลิ่นดอกบัว ไม่ต้องฉีดน้ำหอม กลิ่นหอมเองโดยธรรมชาติ พระพุทธมิได้กล่าวลอยๆ แลบลิ้นปิดหน้าได้ทั้งหมด ศพถูกเผาแล้วฟันทุกซี่อยู่ในสภาพปกติ
เป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั่วไป
ใจเกิดปีติ ผู้คนยินดี ไม่กล่าวคำเท็จ ยินดีที่มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางความจริง
ชาติหน้า ยินดีที่ได้ยินเสียงที่ดี ไม่มีเสียงมารบกวนทำให้สับสน มาทำร้าย
เพิ่มพูนเกียรติคุณ ไม่มีอุปสรรค ปัญญามิอาจประมาณ


ศีลข้อที่ ๕ งดเว้นการเสพสุราเมรัย
(สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี)

เหล้ามิใช่ของคาว แต่มันเป็นสิ่งเริ่มต้นของบาปกรรมทั้งปวง เหล้าลงคอฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดศีลกาเม พูดเท็จ เกิดจากจิตใจที่เมามัว หลังสร่างเมาจึงเห็นความเป็นไปที่แน่นอน ต้องหยุดดื่ม จึงเรียกศีลหยุดไม่ดื่ม
ดื่มสุรามีผิดอะไร
ทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้ถือดื่มสุราเป็นศีลห้าม
สิ้นเปลืองเงินทอง บุญวาสนาถูกลดทอน อย่าดื่มเหล้าและอย่านำเหล้าไปกำนัลคนอื่น ถือศีลข้อนี้ยังซื้อเหล้าแจกอยู่ เกิดห้าร้อยชาติมือกุด เกิดเป็นไส้เดือน กลับจากต่างประเทศอย่าช่วยคนนำเหล้าเข้ามา
ทุกรากปัญญามืดบอด ปัญญาหดหาย
ปัจจุบันเจ็บป่วยบ่อย กินอาหารได้น้อย ดื่มเหล้าง่ายต่อการเป็นโรคตับ โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ
เพิ่มความโกรธ ต่อสู้แย่งชิง ทำร้าย เข่นฆ่า
กามราคะลุกโชติช่วง ขณะเมาเหล้าธรรมจริยาทุกอย่างหายหมด
ออกจากบ้านแต่งตัวภูมิฐาน เหล้าเข้าปากผ่านไปสามแก้ว เมาไม่ได้สติ ขาดมารยาท ปากพ่นคำหยาบ อาการน่าเกลียดทุกอย่างแสดงออก ก่อปัญหาให้ครอบครัวมากมาย
เปิดเผยความลับ ธุรกิจล้มเหลว วงการค้าเหมือนสนามรบ พอเมาเหล้าเปิดเผยความลับทางการค้าทุกอย่าง เป็นลูกจ้างถูกนายจ้างตำหนิให้ออกจากงาน หากตัวเองเป็นเถ้าแก่บุญวาสนาไม่พอ ไม่เกินสองเดือนอาจเจ๊งได้
พ่อแม่ไม่ชอบ ครอบครัวบริวารหนีห่าง กลิ่นเหล้ารุนแรง ผู้คนรังเกียจ ชนรุ่นต่อไปทำตามอย่าง
ทุศีลเจ ทำผิดบาป หลังดื่มเมาแล้วศีลเจอะไรก็ไม่รู้หมด รักษาไม่อยู่ ไม่เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เคารพ
คนดีหนีห่าง ใกล้ชิดคนชั่ว รวมกลุ่มกับคนเมาด้วยกัน คบเพื่อนดื่มเหล้ากินเนื้อสัตว์
จิตใจสับสน ห่างไกลฌานสมาธิ จิตใจไม่สงบ จิตใจฟุ้งซ่าน
มักทำผิดคุณธรรม
มักเป็นคนผิดหวัง ทุกข์
สูญเสียเวลา ความเคยชินไม่ดีแก้ยาก
ร่างกายทรุดโทรม ชีวิตดับสูญตกนรกอเวจี
เพื่อความจำเป็นการรักษาโรคภัย ยามีส่วนผสมของเหล้า แต่ต้องไม่ถึงกับทำให้เมา ยาทาภายนอกผสมเหล้าได้
ยาดองเหล้าบำรุงร่างกายไม่ควรดื่ม ร่างกายแข็งแรงเกินจะเพิ่มความกำหนัดไม่ดี


กรรมสนองจากการผิดศีลสุราเมรัย

ตกนรก เกิดเป็นคนโง่เขลาไม่เชื่อธรรม

ผลจากการถือศีลสุราเมรัย

ปัญญาแจ่มใส จิตสงบสุขเกษม ได้เกิดเป็นนักบวช เป็นอาจารย์บรรยายธรรม ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่เผอเรอ
ถือศีลทั้งสี่ข้อนี้ จะไม่ทำผิดโทษหนัก รักษาศีลฆ่า ลักขโมย กาเม พูดเท็จ

http://webboard.mthai.com/7/2007-06-06/326629.html

การกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

ข้อ 16 ความกตัญญูต่อบุพการี-ผู้มีพระคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม


ข้อ 16 ความกตัญญูต่อบุพการี-ผู้มีพระคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงาม



การเคารพรักพ่อแม่ของกันและกันเป็นสิ่งสำคัญ คุณควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวเดิมของคนรัก ซึ่งอาจไม่ต้องรักมากเหมือนกับครอบครัวเดิมของคุณก็ได้ เพียงแค่คิดว่าคุณต้องการให้คนรักของคุณรักและดีกับครอบครัวเดิมของคุณอย่างไร คุณก็ควรจะรักและดีกับครอบครัวของคนรักคุณเช่นนั้นด้วย...เพราะความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีงามค่ะ



ผู้เขียนอยากจะให้คุณลองคิดดูนะตะว่า หากคนรักของคุณเป็นคนที่รักครอบครัวมาตั้งแต่ครอบครัวเดิม คุณคิดว่าในการสร้างครอบครัวใหม่เขา/เธอจะเป็นคนที่รักครอบครัวหรือไม่...แน่นอน คนนั้นก็จะเป็นคนรักครอบครัวและเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวเช่นกัน แต่หากตรงกันข้าม หากคนรักคุณละเลยครอบครัวเดิมของตนเอง คุณอาจต้องมานั่งคิดกังวลว่าเขา/เธอนั้นมีปัญหาภายในครอบครัวเดิมหรือไม่ เป็นคนดี หรือขาดความรับผิดชอบหรือไม่ และหากเป็นเช่นนี้ คุณมั่นใจว่าเขา/เธอจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีที่จะสร้างครอบครัวใหม่ของคุณหรือ?



แต่ก็เป็นเพียงประเด็นให้สังเกตเท่านั้น... เพราะส่วนใหญ่คนคิดอย่างไรก็มักจะทำเช่นนั้น รวมทั้งพฤติกรรมเดิม ก็คงจะมีความต่อเนื่องเป็นพฤติกรรมของเขาปัจจุบันเช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นเช่นนี้ต้องเป็นเช่นนั้นทุกคนเสมอไป



หากคุณและคู่สมรส...มีความสัมพันธ์ที่ดีครอบครัวเดิม ชีวิตคู่ของคุณก็จะมีแนวโน้มที่มั่นคงและเข้มแข็ง เพราะการเห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัวได้ก่อเกิดอยู่ภายในจิตใจ ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะช่วยสะสมให้คุณทั้งสองเกิดการเรียนรู้ และจะก่อให้เกิดการเรียนรู้แก่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป ในข้างหน้า...เมื่อคุณเป็นพ่อแม่คน คุณจะได้รับความรักและความกตัญญูจากลูก เหมือนอย่างที่คุณมีกับพ่อแม่ของคุณ...เช่นเดียวกัน



แต่หากครอบครัวเดิมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายเข้ามาก้าวก่ายครอบครัวใหม่ของคุณมากเกินไป ก็อาจก่อปัญหาให้กับชีวิตคู่ของคุณได้ลักษณะของปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น



- ปัญหาแม่ผัว – ลูกสะใภ้

- ปัญหาพ่อตา – ลูกเขย

- ครอบครัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามายุ่งกับชีวิตคู่มากเกินไป

- ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความผูกพันกับครอบครัวเดิมมากเกินไป

- ครอบครัวใหม่มีการพึ่งพิงญาติพี่น้องมากเกินไป

- ครอบครัวเดิมมีการพึ่งพิงครอบครัวใหม่มากเกินไป



เพื่อเป็นการป้องกัน และแก้ไขปัญหาเกิดขึ้น มีวิธีการและข้อควรระวังดังนี้



1. ทำความเข้าใจในอิทธิพลของครอบครัวเดิม เพื่อที่คุณจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด

มากขึ้น



2. พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพราะเมื่อใดที่คุณทั้งสองมีปัญหา คุณจะได้มีที่พึ่งพิงที่สำคัญจะทำให้ลูกของคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับญาติพี่น้องของคุณทั้งสองด้วย และระวังไม่พูดถึงครอบครัวเดิมของกันและกันในแง่ที่ไม่ดีด้วยค่ะ



3. มีความผูกพันที่เหมาะสม กล่าวได้ว่า ในการแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ จะทำให้

ความสัมพันธ์กับครอบครัวเดิมลดลง ความสำคัญจะไปอยู่ที่ครอบครัวใหม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น เป็นหน้าที่ของคุณทั้งสองที่จะต้องทำความสัมพันธ์ของทั้งครอบครัวใหม่ และครอบครัวเดิมมีความเหมาะสม



4. มีขอบเขตที่เหมาะสม เพราะคุณทั้งสองจะต้องมีชีวิตของคุณเอง ในแบบที่คุณเลือก

และเหมาะสมกับคุณ สำหรับความสัมพันธ์กับครอบครัวเดิมหรือเพื่อนฝูงนั้นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งซึ่งคุณยังต้องคงความสัมพันธ์อยู่ เพียงแต่จะทำอย่างไรไม่ให้พวกเขาเข้ามาก้าวก่ายชีวิตคู่ของคุณเท่านั้นเอง



5. อย่าให้เขาเลือกระหว่างคุณกับครอบครัวของเขา ในกรณีที่คุณมีความไม่พอใจหรือ

ขัดแย้งกับครอบครัวเดิมของคนรัก อย่าบังคับให้เขาต้องเลือกเพราะจะทำให้เขาเกิดภาวะของความลำบากใจ และเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรทำอย่างยิ่ง



6. อย่าเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งของครอบครัวเดิมของคนรัก เพราะคุณไม่รู้ความเป็นมาที่

แท้จริง อีกทั้งการที่คุณรู้เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นความขัดแย้งหรือปัญหาของครอบครัวเดิมเขา อาจทำให้เขาเกิดความไม่สบายใจภายหลัง



7. ควรบอกให้คนรักรู้หากคุณต้องการช่วยเหลือครอบครัวเดิมของคุณ และอธิบายให้

เข้าใจ การปิดบังจะทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกัน



8. บ้านใครคนนั้นต้องจัดการ ในกรณีที่ญาติพี่น้องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามามีปัญหากับ

ครอบครัวใหม่ของคุณ ฝ่ายนั้นต้องเป็นฝ่ายจัดการ



9. อย่าดึงเครือญาติเข้ามาในความขัดแย้ง เพราะการดึงบุคคลอื่นเข้ามาอาจทำให้ความ

ขัดแย้งนั้นขยายวงกว้างขึ้นไปอีก มากคนก็มากความค่ะ แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ คนๆ นั้นควรมีความเป็นกลางและมีวุฒิภาวะเพียงพอเพื่อที่เขาจะสามารถช่วยเหลือคุณได้จริงๆ ไม่ใช่มาเพิ่มปัญหาให้กับคุณ



10. จงมั่นใจความรักที่คนรักมีต่อคุณ หากเขา/เธอจะรักและปฏิบัติต่อพ่อแม่ของเขาดี คุณ

ควรจะดีใจว่าคุณได้คู่ชีวิตที่ดีมาเป็นคู่ครอง และนั่นไม่ได้ก็หมายความว่าคนรักของคุณจะรักคุณน้อยลงค่ะ



ความเชื่อมั่นจะแสดงให้เห็นถึงความนับถือตัวเองของคุณ ว่าคุณมีคุณค่าพอที่เขา/เธอจะรักค่ะ



เมื่อคุณทั้งสองแต่งงานกัน

คุณจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวเดิมของซึ่งกันและกัน

ซึ่งคนเหล่านี้มีความสำคัญกับคนรักของคุณ

เหมือนกับที่พ่อแม่ญาติพี่น้องของคุณมีความสำคัญต่อคุณ

ดังนั้น...คุณจึงควรตระหนักในความสำคัญ

และพยายามในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อครอบครัวเดิมของกันและกันค่ะ

http://www.thaisafenet.org/article.php?act=show&Id=73-.html

การฝึกความอดทน

คนทุกคนที่เกิดมาบนโลกใบนี้..ย่อมหนีความตายไม่ได้ทั้งสิ้น..เกิดมาเพื่อใช้กรรมกันทั้งสิ้น..ไม่ว่าใครที่ทำให้เราโกธร เกลียด รักปรารถนาใคร่อยู่ใกล้ๆ..คนึงถวิลหาอยากที่จะรักใคร่...ย่อมต้องเคยผูกพันกันมาแต่ปางก่อน..การฝึกความอดทนวิธีหนึ่งที่อยากจะแนะนำคือ..การฟังให้มาก..พูดให้น้อย..คิดเสมอว่าแต่ปางก่อนคง...เคยทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกันมาจึงต้องมาพบกันเพราะวาสนา..ดลให้มาพบกันอีกด้วยความผูกพันจึงต้องพบกันอีก เคยใหมที่เจอหน้าก็รู้สึกไม่ถูกชตาเสียแล้ว..แต่บางคนมาเจอปุบก็ถูกชตามากๆ..นี่คืออนาสงฆ์แห่งกรรม..การฝึกฝนความอดทนโดยนั่งนึกเสียว่าเราเคยเป็นผู้กระทำมาก่อนจึงต้องมาทนเห็นทนอยู่ทนฟัง..นี่คือสุดยอดการชนะตนเอง..การให้อภัย..คือสุดยอดผู้ชนะใจตนเอง

http://gotoknow.org/blog/datsondan-ton/222673

การทำจิตใจให้สงบ (อยากให้ทุกคนได้อ่าน)

การทำจิตให้สงบ คำสอนของพระโพธิญาณ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)

การทำจิตให้สงบ คือ การวางให้พอดี ตั้งใจเกินไปมากมันก็เลยไป ปล่อยเกินไปมันก็ไม่ถึง เพราะขาดความพอดี
ธรรมดาจิตเป็นของไม่อยู่นิ่ง เป็นของมีกิริยาไหวตัวอยู่เรื่อย ฉะนั้น จิตใจของเราจึงไม่มีกำลัง

การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มีกำลังมันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็ คือ การออกกำลังกาย ทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่งนี่คือ การทำกายให้มีกำลัง

การทำจิตให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังด้านสมาธิภายใน

สิ่งที่รักษาสมาธินี้ไว้ได้คือสติ
สตินี้เป็นธรรม
เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง
ซึ่งให้ธรรมอันอื่นๆ ทั้งหลายเกิดขึ้นโดยพร้อมเรียง

"ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ปัญญาก็ดี"
"เมื่อมันกล้าขึ้นมา มันก็คือมรรค"
"นี่แหล่ะคือหนทาง ทางอื่นไม่มี"

จากคำสอนของพระโพธิญาณ (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)


http://www.oknation.net/blog/ps/2009/08/24/entry-1