วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำตนให้เป็นประโยชน์


ทำตนให้เป็นประโยชน์
จิตสำนึกสำคัญประการหนึ่งที่มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์คือ การรู้จักว่า ตนเป็นผู้มีประโยชน์ และมีความตั้งใจว่าจะทำตนให้เป็นประโยชน์ เมื่อใดก็ตามเราเริ่มมีความคิดในใจว่า ตัวเองไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ว่ากับตัวเองหรือบุคคลอื่น ทัศนคติเช่นนี้ถือว่าดูแคลนตัวเอง เราพิพากษาตัดสินตัวเองอย่างไม่ยุติธรรม การที่มีบางคนไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นตนเองมีประโยชน์อาจเกิดจากถูกเลี้ยงดูไม่ถูกต้องคือ ตั้งแต่เด็กถูกกระหน่ำด้วยคำพูดและท่าทีเป็นทางลบ บางคนระบายความคับแค้นใจลงใส่เด็กๆ ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย เมื่อโตขึ้นรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ หรืออาจเป็นเพราะความผิดหวังจากความรัก ผิดหวังที่สมัครงานไม่ได้สมประสงค์ เลยทำให้คิดว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ ไร้คุณค่า

ผมอยากให้ผู้ที่คิดว่าตนเองไม่มีประโยชน์หยุดคิดสักหน่อยและขอให้มองดูสิ่งต่างๆ รอบข้างเราด้วยใจปราศจากอคติและมีสติ แล้วถามตัวเองว่า มีอะไรบ้างจากสิ่งที่ตาเห็นว่าไม่มีประโยชน์และขาดคุณค่า แม้แต่กองขยะซึ่งเป็นของที่คนทิ้งไม่เอาก็ยังให้ประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย นานมาแล้ววงการแพทย์เคยคิดว่าไส้ติ่งในร่างกายมนุษย์ไม่มีประโยชน์อะไร ฉะนั้นทุกครั้งที่ผ่าตัดหมอจะแนะนำให้ตัดไส้ติ่งออกเสีย เหตุผลอาจจะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ได้พบแล้วว่า ไส้ติ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์มากเพราะแบคทีเรียจะอาศัยอยู่ในไส้ติ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดี เมื่อใดเราเกิดท้องเสียตัวแบคทีเรียเหล่านี้จะออกมาช่วยแก้ท้องเสีย ฉะนั้นไส้ติ่งจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก

เรามีค่ามากกว่าสิ่งของทั้งหลาย ฉะนั้นจึงไม่ควรคิดสรุปง่ายๆ ว่าตนเองไร้ค่าไร้ประโยชน์ จากความคิดว่าตัวเองมีประโยชน์จะเป็นฐานสำหรับการสร้างคุณประโยชน์ต่อตัวเองและสังคม ยิ่งมองเห็นคุณค่าคุณประโยชน์ที่ตัวเองมีอยู่มากเท่าใด ก็จะเป็นฐานให้เราสร้างประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นมากเท่าใดก็ยิ่งทำให้เราเห็นคุณประโยชน์ในตัวเองมากเท่านั้น

แต่ละคนมีความรู้ ความสามารถ มีทุนทรัพย์ มีแรงกาย คำพูด และมันสมอง เราสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ สร้างคุณสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้รอคอยความช่วยเหลือ หรือช่วยเพื่อนในยามยากลำบาก หรือในหมู่เพื่อนสมาชิกในคริสตจักร เราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาได้เคยทำอะไรให้เกิดคุณประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง ขณะที่เราเองได้รับประโยชน์จากคนอื่นตลอดเวลาไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึก ตัวก็ดี

อย่าเป็นบุคคลที่หวังประโยชน์จากผู้อื่นฝ่ายเดียว อย่าทำตัวให้เป็นคนไร้คุณค่า คุณมีคุณค่ามีประโยชน์ฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้ตั้งใจและหาโอกาสสร้างคุณประโยชน์ร่วมกัน

http://www.romyenchurch.org/messages/index.php?p=p_137&sName=-3607;-3635;-3605;-3609;-3651;-3627;-3657;-3648;-3611;-3655;-3609;-3611;-3619;-3632;-3650;-3618;-3594;-3609;-3660;

อาหารบำรุงสายตา

อาหารบำรุงสายตา
ความจำเป็นของสารอาหาร วิตามิน A นั้น มีผลต่อเซลล์ของจอตา (RETINA )
ในการแปรพลังงานแสงที่ได้รับให้เป็นสัญญาณสู่ระบบประสาทด้วย ซึ่งถ้าหากขาด
ไปการรับภาพของจอตาอาจจะเสื่อมลงได้ แหล่งอาหารที่มี วิตามิน A มาก พบได้
ในผลิตผลของสัตว์ เช่น ตับ , ไข่แดง , นม , น้ำมันสกัดจากตับปลา พืชที่มีสาร
ประกอบแคโรทีน ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามิน A เช่น พืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด
สีเหลือง ผักบุ้ง , มะละกอ , ฟักทอง ฯลฯ

ความต้องการของร่างกาย ( ใน 1 วัน )
• ทารก และเด็ก 1,500 หน่วยสากล
• เด็กวัยรุ่น 2,500 หน่วยสากล
• ผู้ใหญ่ 5,000 หน่วยสากล
• หญิงมีครรภ์ 6,000 หน่วยสากล
• หญิงให้นมบุตร 8,000 หน่วยสากล

ปริมาณวิตามิน A ในอาหาร 100 กรัม
ใบยอ 43,333 หน่วยสากล
ตับไก่ 32,200 หน่วยสากล
ใบแมงลัก 26,000 หน่วยสากล
ตับวัว 24,964 หน่วยสากล
ใบโหระพา 20,712 หน่วยสากล
ผักตำลึง 18,608 หน่วยสากล
แครอท 18,502หน่วยสากล
ปูทะเล 14,155 หน่วยสากล
ผักโขม 12,860 หน่วยสากล
ตับหมู 11,900 หน่วยสากล
ใบบัวบก 10,962 หน่วยสากล
ผักชะอม 10,066 หน่วยสากล
ผักคะน้า 9,300 หน่วยสากล
ผักกระทิน 7,883 หน่วยสากล
ไข่แดง 7,675 หน่วยสากล
พริกขี้หนู , พริกชี้ฟ้า 7,010หน่วยสากล
เนย 3,300 หน่วยสากล
มะม่วงสุก 2,580 หน่วยสากล

ที่มา: http://www.topcharoen.co.th/web/expert_detail.php?id=2



อาหารบำรุงสายตา

แพทย์แนะนำให้ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยทองรับประทานข้าวโพด ไข่ พริกไทย
ฟักทอง และองุ่นแดงให้มากขึ้น เพื่อรักษาสายตาที่เสื่อมลงตามวัยเพราะ
อาหารดังกล่าวอุดมด้วยสารลูตินและซีแซนติน เป็นสารประกอบทางเคมี
ที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ สามารถป้องกันความเสื่อมของจุดรับแสงในดวงตา
อันเป็นส่วนหนึ่งของเรตินา ช่วงก่อนนั้นแพทย์แนะนำให้รับประทานผักใบเขียว
เพื่อป้องกันการเสื่อมของเนื้อเยื่อดวงตา

ปัจจุบันวารสารจักษุวิทยาของอังกฤษระบุว่า ผักและผลไม้ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็เป็น
ประโยชน์ต่อสายตาทั้งนั้น เพราะจะไปเพิ่มสารลูตินและซีแซนตินให้แก่ร่างกาย
บรรดาแพทย์ยังกล่าวว่าไข่มีสารประกอบเคมีทั้งสองชนิดนี้มากที่สุดเมื่อเทียบเป็น
ร้อยละ ข้าวโพดเป็นผักที่มีสารลูตินมากที่สุด ในขณะที่พริกไทยมีสารซีแซนตินมากที่สุด

- ผักกระเฉดหน้าไก่

- แกงเลียงผักรวม

- ถั่วลันเตาผัดกุ้ง

ที่มา: http://www.school.net.th/library/create-web/10000/generality/10000-4762.html

วิธีป้องกันอันตรายจากการเล่นน้ำตกและล่องแก่ง

ปภ. แนะวิธีป้องกันอันตรายจากการเล่นน้ำตกและล่องแก่ง

ในช่วงฤดูฝน นอกจากนักท่องเที่ยวจะนิยมเดินทางไปเที่ยวป่าเพื่อชมความงามของผืนป่าแล้ว กิจกรรมอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน ได้แก่ การเล่นน้ำตก และ การล่องแก่ง เพราะเป็นช่วงที่ผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด และมีปริมาณน้ำมากเพียงพอที่จะทำกิจกรรมดังกล่าวได้

แต่ขณะเดียวกันช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม นักท่องเที่ยวจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเล่นน้ำตกและล่องแก่งช่วงฤดูฝนเป็นพิเศษ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ขอแนะวิธีเล่นน้ำตกและล่องแก่งอย่างปลอดภัย ดังนี้...

การเล่นน้ำตก

ก่อนเล่นน้ำตก

ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เส้นทางการเดินทาง สภาพน้ำตก โดยเลือกเที่ยวน้ำตกที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน รวมถึงสภาพพื้นที่และสภาพอากาศ โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและกรมอุตุนิยมวิทยา อีกทั้งปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเคร่งครัด

ขณะเล่นน้ำตก

- ไม่ลงเล่นน้ำในเขตหวงห้ามอย่างเด็ดขาด เพราะอาจได้รับอันตรายจากน้ำวนหรือกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก
- ไม่ปีนป่ายขึ้นไปตามหน้าผา น้ำตกหรือบริเวณที่เปียกลื่น
- ไม่เล่นหยอกล้อบริเวณพื้นที่อันตราย เช่น แอ่งน้ำวน น้ำลึกหรือที่ลาดชันก่อนถึงผาน้ำตก เพราะอาจพลัดตกจนได้รับบาดเจ็บ
- ไม่สวมเสื้อผ้าที่เปียกน้ำหรืออยู่ในน้ำที่เย็นนานเกินไป เพราะอาจเป็นตะคริวจมน้ำเสียชีวิต
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะหากพลัดตกลงน้ำจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งขวดหรือแก้วน้ำที่แตก จะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวรายอื่นด้วย
- หมั่นสังเกตลักษณะของสายน้ำในน้ำตก หากพบว่าระดับน้ำสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำเปลี่ยนสี และมีเสียงดังผิดปกติ ให้รีบขึ้นจากน้ำและไปยังพื้นที่ปลอดภัยทันที เพราะอาจเกิดน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้




ล่องแก่ง




การล่องแก่ง

ก่อนล่องแก่ง

ควรตรวจสอบข้อมูลสถานที่ล่องแก่งจากเจ้าหน้าที่อุทยาน และสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อจะได้วางแผนการล่องแก่งได้อย่างเหมาะสม ศึกษาข้อปฏิบัติในการเล่นและข้อตกลงต่างๆ อย่างละเอียด เช่น การประกันภัย เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ตลอดจนศึกษาลักษณะการไหลของน้ำ ซึ่งมี 2 ประเภท ได้แก่ แบบแก่ง น้ำจะไหลเร็วและแรง กับแบบแอ่ง น้ำจะไหลช้าแต่มีความลึก และศึกษาเส้นทางลำน้ำและกระแสน้ำ อีกทั้งฝึกซ้อมการพายเรือ การถ่อเรือและการนั่งทรงตัวในเรือให้ชำนาญ สวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าแบบลำลอง เช่น กางเกงขาสั้น เนื้อผ้าไม่อุ้มน้ำ แห้งง่าย รองเท้าที่มีสายรัดข้อเท้า และสวมหมวกนิรภัยและเสื้อชูชีพให้เรียบร้อยก่อนลงเรือ

ขณะล่องแก่ง

- ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงการล่องแก่งในบริเวณที่มีกระแสน้ำไหลแรงและลึก เนื่องจากหินใต้น้ำและผิวน้ำจะทำให้เกิดคลื่นน้อยใหญ่ และม้วนเป็นวงอย่างแรงจนทำให้เรือล่มได้
- ไม่เล่นล่องแก่งบริเวณที่มีน้ำไหลตกจากที่สูงและไม่พายเรือเข้าไปบริเวณใต้ต้นไม้ที่มีลักษณะรากลอย เพราะจะยิ่งเพิ่มอันตรายให้กับผู้เล่นมากขึ้น
- กรณีที่พลัดตกจากเรือ ให้ว่ายน้ำเข้าหาเรือหรือฝั่งโดยเร็วที่สุด ถ้าว่ายน้ำไม่เป็น ให้พยายามลอยตัวเหนือน้ำในท่านอนหงาย ยกขาทั้งสองข้างขึ้น เสื้อชูชีพจะช่วยพยุงตัวให้ลอยขึ้นจากน้ำ หากกระแสน้ำไหลรุนแรง ให้ใช้ไม้พายยันเพื่อชะลอความเร็ว และป้องกันการกระแทกกับแก่งหินบริเวณนั้น เพื่อให้การเล่นน้ำตกและล่องแก่งเป็นไปอย่างปลอดภัย
- นักท่องเที่ยวควรเตรียมความพร้อมด้วยการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแหล่งท่องเที่ยวและสภาพอากาศ ลักษณะของสายน้ำอย่างละเอียด เพื่อจะได้วางแผนการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม หากพบสิ่งผิดปกติของกระแสน้ำให้รีบขึ้นจากน้ำและไปยังพื้นที่ปลอดภัยในทันที
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายจากการท่องเทียวน้ำตกและล่องแก่งที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา


http://www.vcharkarn.com/varticle/39284

การรักษาแผลสดจากอุบัติเหตุ


การรักษาแผลสดจากอุบัติเหตุ

ของที่ควรพกไปเมื่อไปเที่ยวทางไกล
1.ยากิน : ยาแก้แพ้ : Loratadine 1แผง ไว้ใช้ แก้แพ้ทุกชนิด แก้คัน และแก้หวัดได้ กิน1-2 เม็ด วันละครั้ง เวลาไหนก็ได้
ยาแก้ท้องเสีย : Norfloxacin(400mg) กิน 1เม็ดวันละ2ครั้งหลังอาหาร ใช้แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้ออื่นๆได้ด้วย
Loperamide ทำให้หยุดถ่าย 1เม็ดทุก 4ชม. หยุดถ่ายให้หยุดกิน
ยาแก้ปวดแก้ไข้ : Paracetamol(500mg) กินได้ 2เม็ดทุก4ชม.
ยาแก้เมารถ : Dimenhydrinate กิน 1เม็ดทุก6ชม. แก้อาเจียนได้ด้วย ใครรู้ตัวว่าเมารถ กินครึ่งชม.ก่อนเดินทาง
2.ยาทา : Ammonia : ใช้ดมเวลาจะเป็นลม และ ทาแผลเมื่อถูกแมงกระพรุน ไปทะเลต้องพกไปนะ
Betadine : ใช้ใส่แผลสดทุกชนิด
3.ผ้าพันแผล(แบบยืดได้ Dura)
Plaster (Transpore ) & Plasterยา
Sofra-tulle (เป็นผ้าตาข่ายใส่ยาฆ่าเชื้อ และเคลือบParafin ไว้ทำให้ไม่ติดแผลเวลาลอกออก ต้องเปลี่ยนทุกวัน)
เทียนไข หรือ ดินน้ำมัน เอาคลึงที่แผลที่ถูกเหล็กไนจะเอาออกมาได้ รวมถึงแมงกะพรุนด้วย
การรักษาแผลสด
ถ้าจะไปโรงพยาบาล ห้ามใส่อะไรทั้งนั้น ให้ห้ามเลือดโดยพันแผลหรือกดไว้ด้วยผ้าสะอาดที่สุดที่หาได้ อย่าเช็ดแผล เพราะจะเช็ดเอาclot ที่อุดห้ามเลือดออก ทำให้เลือดออกอีก
โดยเฉพาะใส้บุหรี่ มันห้ามเลือดได้จริง แต่เอาออกให้หมดยากมาก (สงสารหมอหน่อยครับ) และถ้ามันค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว มันจะเป็นสารแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย แผลคุณจะเป็นหนองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าผ่าเอาออกหมด (ทุกครั้งที่เจอแบบนี้นั่งคีบไปด่าคนแนะนำไป)
ถ้าโดนสัตว์กัด ให้ล้างและฟอกแผลด้วยสบู่ เพื่อลดเชื้อพิษสุนัขบ้า(ถ้ามี) แล้วห้ามเลือด รีบไปพบหมอ
ถ้าไม่ต้องไปหาหมอ –แผลสะอาดอยู่แล้ว ให้ทา Betadine ปิดด้วย Sofra-tulle(ตัดเป็นชิ้นขนาดพับครึ่งแล้วปิดแผลได้ อย่าลืมลอกเอากระดาษไขออกด้วย ใช้แต่ตัวตาข่ายนะ เปลี่ยนทุกวัน)
ปิดทับด้วยผ้าพันแผล ทำแผลวันละครั้ง โดยทา Betadine แล้วปิดแผลแบบเดิม
ถ้าแผลสกปรก ให้ล้างน้ำเปล่าที่สะอาดที่สุด(น้ำPolarisที่กินนั่นแหละ) ซับให้แห้งห้ามเช็ด เลือดจะออก แล้วทา Betadine แล้วปิดแผล แบบข้อก่อน
ถ้าเป็นแผลถลอก ทำแบบ2ข้อข้างบน แต่อย่าปิดแผล เปิดไว้จะตกสะเก็ดใน2-5วันแผลหายเร็วกว่า ถ้าอยู่ระหว่างเดินทางอาจปิดแผลไว้ก่อน แต่ถึงบ้านให้ รีบเปิดทันที
สิ่งที่ห้ามใช้กับแผล ทั้งหมดนี้ทางการแพทย์เราไม่ใช้แล้ว (แต่ยังมีขายอยู่ ไม่รู้มี สธ.ไว้ทำไม) พวกนี้คือจำเลย ที่ทำให้แผลไม่หายและลุกลาม
Hydrogen Peroxide(ผู้ร้ายหมายเลข1) ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ Ointmentทั้งหลาย Chloram ผงวิเศษ บัวหิมะ ยาเส้น Alchol

EDIT : เพิ่มเติมผลเสียของแต่ละตัวครับ เป็นสิ่งที่ผมพบจริงๆมาเกือบ30ปี แผลเล็กน้อยที่รักษานานแล้วยังไม่หาย และลามมากขึ้น มาจากการใช้ยาพวกนี้ทั้งนั้น
Hydrogen Peroxide : มันฆ่าเชื้อโรคได้ก็จริง แต่ก็ฆ่าcellด้วย แผลเย็บตัดไหมแผลจะไม่ติดแบะออก เพราะมันซึมลงในแผล กัดเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นเชื่อมแผล แผลถลอกก็จะขยายใหญ่ขึ้น ขอบแผลนูนเป็นสัน
Alcohol : ไม่ใช้ใส่ในตัวแผล แต่ใช้เช็ดฆ่าเชื้อ ที่ผิวปกติ ข้างๆแผล
Tincture Iodine : ฆ่าเชื้อได้ดีที่สุดก็จริง แต่มันจะทำลายเนื้อเยื่อของเราด้วย
ยาเหล์อง และยาแดง : ฆ่าเชื้อได้ไม่ดีนัก และจะจับเป็นผลึกอยู่บนแผล ข้างใต้เป็นที่สะสมเชื้อโรคอีกด้วย
Chloramผง(ถอดcapsuleมาโรย) : เป็นการใช้ยาผิดroute(ไม่รู้จะแปลยังไง) เขาทำไว้ให้กิน จึงไม่ได้ผล และอาจกระตุ้นให้แพ้ chloramด้วย
Ointmentทั้งหลาย : พบว่าไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรค และยังกระตุ้นให้แพ้ยากินด้วย
Gentamycin cream ฆ่าเชื้อได้จริง แต่ไม่ควรใช้ในแผลสด ใช้ทาที่หัวฝีร่วมกับยากินจะได้ผลดี
ผงวิเศษ และผงอื่นๆ : ฆ่าเชื้อไม่ได้ ในช่วงแรกที่ดูดีขึ้น เพราะมันเป็นผงแป้ง จึงดูดน้ำจากBacteriaทำให้ตาย และยังดูดซับน้ำเหลืองด้วย แผลจึงดูแห้ง แต่ไม่นานมันจะจับเป็นแผ่นคลุมบนแผล เป็นที่อยู่และอาหารเลี้ยงเชื้อโรค เพราะเป็นcarbohydrate แผลจะแย่ขึ้น ใส่แป้งมันก็มีผลเช่นกันครับ
ยาเส้น : ชาวบ้านใช้ห้ามเลือด ได้ผล แต่ ถ้าเก็บออกไม่หมดค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว แผลจะเป็นหนองขึ้นมาเรื่อยๆ จนผ่าเอาออกจึงหาย ของอื่นทุกชนิดที่ค้างอยู่ในเนื้อก็มีผลแบบเดียวกัน
สำลีไม่ควรใช้กับแผลเพราะเส้นใยอาจตกค้างอยู่ในแผล เกิดผลแบบเดียวกัน ให้ใช้เป็นcotton bud จะดีกว่า และห้ามปิดแผลด้วยสำลี เพราะเหตุผลเดียวกัน


http://cliniconweb.blogspot.com/2008/03/blog-post.html

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาคิชฌกูฏ

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์บนเขาคิชฌกูฏ

เขาคิชฌกูฏ ตั้งชื่อตาม เขาคิชฌกูฏ ที่ในสมัยพุทธกาลเป็นที่ตั้งกุฏิของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่กรุงราชคฤห์แคว้นมคธเป็นยอดเขาที่มีแนวเขาล้อมโดยรอบ เพราะสภาพภูมิประเทศคล้ายคลึงและบนยอดเขามีสิ่งศกดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ คือ รอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตร ที่ตั้งข้างรอยพระพุทธบาท อยู่ในลักษณะคล้ายลอยอยู่ริมลานพระพุทธบาทฝั่งตรงข้ามหินลูกบาตรมีรอยพระหัตถ์ไปรับหินก้อนนี้ และในหินก้อนนี้ ตรงข้ามกันรอยพระหัตถ์ มีรูปรอยเท้าใหญ่ (รอยเท้าพญามาร) ใต้พระบาทมีถ้ำตาฤาษี
พระครูธรรมสรคุณ (ท่านพ่อเขียน) ได้สอนว่า “เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจ อธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคนและเป็รสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป”
ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปราถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสขตามสมบูรณ์พูลผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป


http://cid-d0b69ec5b047a2ab.photos.live.com/self.aspx/%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%8c%e0%b8%81%e0%b8%b9%e0%b8%8e/IMG%5E_1052.jpg

ตำนานพญานาค

ตำนานพญานาค

พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถ แปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
* พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
* .พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคาย พิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
* พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
* พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี

http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=96.0

แม่น้ำปิง

แม่น้ำปิง เกิดจากดอยเชียงดาว ดอยอินทนนท์ ดอยขุนอัน และเทือกเขาขุนตาล ไหลผ่านอำเภอเชียงดาว แม่แตง อำเภอเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ตาก กำแพงเพชร และ รวมกับแม่น้ำวัง แม่น้ำยม และแม่น้ำน่าน กลายเป็น แม่น้ำเจ้าพระยา

ต้นกำเนิดแม่น้ำปิง
แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำ ในพื้นที่ เขตอำเภอเชียงดาว จังหวัด เชียงใหม่ ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย และน้ำแม่แตงไหลมาบรรจบทางฝั่งขวา เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณพื้นที่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่งซ้าย และจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้ มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบทางฝั่งขวา ที่อำเภอฮอด ก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล ที่อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

แม่น้ำปิงตอนล่างใต้เขื่อนภูมิพล จะไหลผ่านที่ราบลุ่มมาบรรจบกับแม่น้ำวัง ไหลผ่านจังหวัดกำแพงเพชร ไปบรรจบกับแม่น้ำยมและแม่น้ำน่านที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ รวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา สายเลือดใหญ่ของประเทศไทย ลุ่มน้ำปิงและลุ่มน้ำสาขาครอบคลุม พื้นที่ประมาณ 33,989 ตารางกิโลเมตร ความยาวลำน้ำประมาณ 740 กิโลเมตร ปัจจุบันประเทศไทยมีเขื่อนขนาดใหญ่ ประมาณ 25 เขื่อน เขื่อนที่สำคัญสร้างปิดแม่น้ำปิงมีจำนวน 4 เขื่อนด้วยกันคือ เขื่อนแม่แตง เขื่อนแม่งัด เขื่อนแม่กวง และเขื่อนภูมิพลซึ่งเป็นเขื่อนใหญ่ที่สุดในลุ่มน้ำสายนี้








เขื่อนที่กั้นแม่น้ำปิง
แม่น้ำปิงมีเขื่อนที่สำคัญกั้นลำน้ำสายนี้ 4 เขื่อน คือ

เขื่อนแม่แตง
เขื่อนแม่งัด
เขื่อนแม่กวง
เขื่อนภูมิพล







สภาพและปัญหาของแม่น้ำปิงในปัจจุบัน
แม่น้ำปิงเป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้เป็นสิ่งสาธารณูปโภคของชาว เชียงใหม่มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน โดยมีต้นกำเนิดของแม่น้ำที่ อ.เชียงดาว ในสภาพปัจจุบันเห็นได้ว่ามีการทิ้งของเสีย,การถมที่,และการสร้าง อาคารร้านค้าลุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำปิงซึ่งหากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปจะทำให้น้ำปิงเน่าเสียเชียงใหม่ก็จะประสบปัญหาขาดน้ำดื่มน้ำใช้อย่างรุนแรง ที่สุด ยังไม่นับผลเสียที่ร้ายแรงอีกหลายข้อที่จะตามมาต่อเราและลูกหลานของเราในอนาคต

แม่น้ำปิง มีปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับในอดีต
แม่น้ำปิง สกปรก และเน่าเสีย ที่สำคัญเกิดจากทิ้งของเสีย ลงในแม่น้ำ
มีการถมที่ริมฝั่งแม่น้ำทั้งด้าน ทำให้แม่ปิงหดแคบเข้าไปครึ่งหนึ่ง
มีการสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างลุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำ
มีการดูดน้ำแม่ปิง ขึ้นไปใช้อย่างมาก เช่น กิจการร้านอาหาร โรงแรม คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ
แม่น้ำปิง เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลอยู่ในหุบเขา ระหว่างทิวเขาถนนธงชัยกลางกับทิวเขาผีปันน้ำตะวันตก มีต้นน้ำอยู่ที่ดอยถ้วย ในเทือกเขาแดนลาวในเขตตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แล้วไหลลงมาทางใต้ ผ่านเข้าเขตจังหวัดลำพูนที่ อำเภอเมืองลำพูน จากจุดนี้ลงไปแม่น้ำปิง เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ กับจังหวัดลำพูน ลงไปทางใต้ของอำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นระยะทาง ประมาณ 70 กิโลเมตร มีลำน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง คือ แม่น้ำกวง แม่น้ำลี้ ห้วยแม่หาด และแม่น้ำก้อ แม่น้ำปิง มีพื้นที่รับน้ำ ประมาณ 6,360 ตร.กม




ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- วิกิพีเดีย

- โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย

Retrieved from "http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%87"

นมมีประโยชน์อย่างไร

ประโยชน์ของนม
นมเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญเติบโตและแข็งแรง นมมีความสำคัญกับเด็กมากโดยเฉพาะเด็กในช่วงก่อนเข้าวัยรุ่นและช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเจริญเติบโตเร็วมาก

แคลเซียมช่วยให้เด็กมีความหนาแน่นของมวลกระดูกมากขึ้น พอเข้าสู่วัยรุ่น จะช่วยให้กระดูกยาวขึ้น ถ้าในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว ร่างกายเรามีการสะสมไว้เพียงพอ จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะแล้วยังช่วยในเรื่องของฟันอีกด้วย แต่ถ้าใครมีไม่เพียงพอ จะทำให้เสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะได้ง่าย

ความ จริง ประโยชน์ของแคลเซียมในน้ำนมไม่ได้มีแค่นั้น ยังทำหน้าที่ยืดหดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบประสาทไวต่อสิ่งเร้ามากขึ้น ช่วยให้เลือดแข็งตัว

งานวิจัยระยะหลังออกมามากว่า แคลเซียมช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งขณะนี้ในหลายประเทศทั้งสหรัฐและยุโรป ศึกษาวิจัยกันมาก โดยใช้นมพร่องมันเนยให้กับเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในโปรแกรมลดน้ำหนัก โดยพบว่ากลุ่มเด็กที่ดื่มนมพร่องมันเนยสามารถลดน้ำหนักได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ ได้ดื่มนม ทำให้เข้าใจว่าแคลเซียมมีผลต่อการใช้ไขมัน ซึ่งอยู่ในขั้นศึกษาอยู่ แต่พอสรุปได้ว่านมยังช่วยในเรื่องลดน้ำหนักอีกด้วย

ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า เด็กไทยตัวเตี้ยกว่ามาตรฐานสากลค่อนข้างเยอะ ถ้าอยากให้เด็กไทยเติบโตเต็มศักยภาพ พ่อแม่ผู้ปกครองควรให้ลูกหลานดื่มนมอย่างเพียงพอ เพราะนมมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์กับเด็ก โดยเฉพาะนมจืด เพราะไม่เป็นปัญหาในเรื่องอ้วนและฟันผุ

จากภาพรวมในรายงานของสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร ระบุด้วยว่าคนไทยดื่มนม 12.3 ลิตรต่อคนต่อปี เทียบแล้วตกวันละ 33 ม.ล.หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ถือว่าค่อนข้างน้อย

บางคนไม่ชอบดื่มนม เพราะดื่มแล้วไม่สบายท้อง ท้องเสีย จริงๆ แล้วคนอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป น้ำย่อยที่จะย่อยน้ำตาลแลกโตสในนม ซึ่งอยู่ในทางเดินอาหารจะน้อยหรือแทบจะไม่มีแล้ว น้ำตาลจะถูกแบคทีเรียใช้ สร้างเป็นกรดขึ้นมา เกิดเป็นแก๊ส ทำให้ท้องเสีย ซึ่งเป็นปัญหาของคนที่ไม่ได้ดื่มนมต่อเนื่อง แต่คนที่ดื่มนมต่อเนื่องจะมีการปรับตัว ทำให้ไม่รุนแรงหรือไม่มีอาการ

ดังนั้น คนที่ดื่มนมแล้วมีอาการ จะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง จึงควรปรับมาดื่มนมหลังอาหารหรือดื่มปริมาณน้อยแต่ดื่มหลายๆ ครั้ง ให้ได้วันละ 1 แก้ว เพื่อไปชะลอไม่ให้กระดูกพรุนเร็วขึ้น


http://www.oknation.net/blog/cherrychese/2009/12/28/entry-2

ประโยชน์ของมะนาว

ประโยชน์ของมะนาว
มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน รายได้เสริมทำผ่าน net ทำจากที่บ้าน/ที่ทำงาน รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ สนใจสมัครที่ www.abc.321.cn
ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้



1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี
2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ
3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี
4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง
5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้
6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา
7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย
8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ
9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด
10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง
12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม
13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม
14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน
15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม
17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์
18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง
19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)
20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี



21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง
22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ
23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้
24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง
25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน
26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง
27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า
28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น
29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน
30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์
31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน
32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย
33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย
34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน
35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย
36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้
37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย
38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้
39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง
40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ



41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้
42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป
43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที
44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล
45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว
46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู
47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย
48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น
49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล
50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้
51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น
52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้
53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร
54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง
55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ
56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี
57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด
58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน
59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย
60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย
61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ
62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี
63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล
64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป
65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ
66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ
67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ
68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร
69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง
70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง
71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว
72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น

- ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น


http://learning.eduzones.com/wanwan/15775

โรคนิ่วไต

โรคนิ่วไต

โรคนิ่วไตเป็นปัญหาสาธารณสุขที่พบมากทั่วโลก และอุบัติการณ์โรคนิ่วไตมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทยมีอุบัติการณ์โรคนิ่วไตสูงมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณร้อยละ 10-16 การมีนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การทำงานของไตเสื่อมลง และอาจร้ายแรงจนถึงเกิดภาวะไตวายเรื้อรังและโรคไตระยะสุดท้าย ซึ่งทำให้ถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้โรคนิ่วไตมีอุบัติการณ์การเป็นนิ่วซ้ำสูงมาก ทำให้ทั้งผู้ป่วยและภาครัฐต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาและป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำสูงมาก ดังนั้นโรคนิ่วไตจึงจัดเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชากรไทยเป็นอย่างยิ่ง


สาเหตุของโรคนิ่วไตเกิดจากหลากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยเสี่ยงทางด้านสิ่งแวดล้อม เมแทบอลิซึม พันธุกรรม วิถีการดำเนินชีวิต และอุปนิสัยการกินอาหารของตัวผู้ป่วยเอง ชนิดของนิ่วมีหลากหลายชนิด องค์ประกอบส่วนใหญ่ในก้อนนิ่วเป็นผลึกแร่ธาตุ เช่น แคลเซี่ยมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต ยูเรต แมกนีเซี่ยมแอมโมเนี่ยมฟอสเฟต เป็นต้น นิ่วที่พบมากที่สุดในประเทศไทย คือ นิ่วแคลเซี่ยมฟอสเฟตประมาณร้อยละ 80 รองลงมาคือนิ่วกรดยูริกพบประมาณร้อยละ 10-20 สาเหตุเริ่มต้นของการเกิดนิ่วคือการก่อผลึกแร่ธาตุในปัสสาวะ สารที่กระตุ้นการก่อผลึกเหล่านี้เรียกว่า “สารก่อนิ่ว” ได้แก่ แคลเซี่ยม ออกซาเลต ฟอสเฟต และกรดยูริก สำหรับสารที่ป้องกันการก่อผลึกในปัสสาวะเรียกว่า “สารยับยั้งนิ่ว” ที่สำคัญได้แก่ ซิเทรต โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
ปัจจัยเสี่ยงด้านความผิดปกติทางเมแทบอลิซึมที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคนิ่วไตไทย คือ การมีสารยับยั้งนิ่วในปัสสาวะต่ำ ได้แก่ ภาวะซิเทรตในปัสสาวะต่ำพบประมาณร้อยละ 70-90 และภาวะโพแทสเซียมในปัสสาวะต่ำพบประมาณร้อยละ 40-60


การรักษาโรคนิ่วไตแบ่งเป็นการรักษาทางศัลกรรม เช่น การผ่าตัดเอานิ่วออกและการสลายนิ่ว เป็นต้น และการรักษาด้วยยาเพื่อป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำ เช่นยาโพแทสเซี่ยมซิเทรต นอกเหนือจากการรักษาทางการแพทย์แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการดำเนินชีวิตมีความสำคัญมากในการสร้างเสริมสุขภาพของผู้ป่วยโรคนิ่วไต ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว


http://www.bmbmd.research.chula.ac.th/knrenal.htm

ส้ม...แสนรัก

ส้ม...แสนรัก (Momypedia)

คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ

พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย

ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น


ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ


ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ

พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

ส้ม...การเลือกซื้อ

การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอนใช่มั้ยคะ

http://health.kapook.com/view1080.html

ส้ม...แสนรัก

ส้ม...แสนรัก (Momypedia)

คุณรู้จัก "ส้ม" กันดีแล้วหรือยัง ถ้ายังตามมาเลยค่ะ

พูดถึง "ส้ม" หลายคนบอกว่า...ฉันรู้จักดี เพราะส้มเป็นผลไม้แสนฮิต มีให้เลือกหลายชนิด ที่สำคัญส้มไม่ได้มีเพียงแค่ความอร่อย ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายด้วย

ส้มเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ที่ให้ทั้งรสเปรี้ยวและหวาน จึงอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ มากมาย ที่เด่นที่สุดคือ ให้วิตามินซีสูง นอกจากนี้ ยังมีแคลเซียม วิตามินเอ บี โปแตสเซียม แคลเซียม ใยอาหาร ฟอสฟอรัส เหล็ก ซึ่งส้มแต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางสารอาหารไม่ต่างกันมากนัก ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น

ดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ลดความเครียด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

เลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติช่วยล้างพิษในร่างกาย

ในส้มมีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยป้องกันการอักเสบ และเลือดจับตัวเป็นก้อน

มีคอลลาเจน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ให้ผิวมีความยืดหยุ่น ไม่แห้งแตก และยังช่วยสมานแผลหลังผ่าตัด แผลไฟไหม้ ให้หายเร็วและแผลเรียบเนียนขึ้น


ส้ม...ลักษณะเด่นที่แตกต่าง

ส้มในบ้านเรามีหลายชนิด ทั้งส้มให้ความเปรี้ยวและส้มให้ความหวาน แต่ละชนิดก็มีลักษณะเด่นและการนำไปใช้แตกต่างกันไป อาทิเช่น

ส้มซันคิสต์ มีรสชาติอร่อยเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำทั้งน้ำและเปลือกมาทำขนม ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้ก หรือแยม

ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวานฉ่ำ เหมาะสำหรับกินสดๆ หรือคั้นดื่ม เพราะเปลือกบางทำให้คั้นได้ง่าย

ส้มจุก มีรสชาติและสีใกล้เคียงกับส้มเช้ง คือ หวานอ่อนๆ จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่ต้องการลดน้ำหนักค่ะ

ส้มโอ เป็นส้มที่สามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งคาว เช่น ยำส้มโอ ใส่ในข้าวยำน้ำบูดู ใส่ในสลัด หรือทำอาหารหวาน เช่น ส้มโอลอยแก้ว ส่วนเปลือกของส้มโอที่มีสีขาวนุ่ม รสชาติขมๆ อยู่ติดกับเปลือก ยังสามารถนำมาเชื่อมได้อีกค่ะ

ส้มจี๊ด คนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมกินเพราะเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมกินโดยเฉพาะนำมาคั้นทำน้ำส้ม หรือนำมาอบแห้งค่ะ

ส้มจีน เป็นส้มที่กินสด หรือนิยมนำมาไหว้เจ้าหรือไหว้บรรพบุรุษ เพราะคำว่าส้มในภาษาจีนจะฟังเหมือนคำว่าทอง และสีก็เหมือนทองด้วย จึงถือเป็นผลไม้มงคลสำหรับชาวจีนค่ะ

เลมอน เป็นส้มที่มีรสชาติคล้ายมะนาว แต่จะมีรสหวานนิดๆ ส่วนใหญ่เป็นส้มที่ชาวต่างชาตินิยมนำมาทำอาหารแทนมะนาว เพราะไม่มีมะนาว หรือนำมาทำเป็นเครื่องดื่มในฤดูร้อน เพราะต่างประเทศไม่มีมะนาวนั่นเองค่ะ

มะนาว เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่ให้ความเปรี้ยวมากที่สุด จึงนำมาปรุงอาหารได้สารพัด เช่น ต้มยำ ยำต่างๆ น้ำพริก รวมทั้งเป็นส่วนผสมในน้ำสลัด ฯลฯ

มะกรูด เป็นหนึ่งในตระกูลส้มชนิดเดียวที่ไม่ได้นำน้ำหรือความเปรี้ยวมาปรุงอาหาร เพราะคนส่วนใหญ่จะนำกลิ่นหอมจากเปลือกมะกรูดมาใช้มากกว่า เช่น ใส่ในแกงมัสมั่น แกงเทโพ หรือทำหน้าหมี่กรอบ ส่วนน้ำมะกรูดนำมาทำเป็นยาสระผมค่ะ


ส้ม...กินอย่างไรให้เหมาะ

ส้มไม่ได้มีประโยชน์สำหรับผู้ใหญ่เพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะส้มยังมีประโยชน์กับเจ้าตัวเล็กของคุณอีกด้วย

สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้เจ้าตัวเล็กดื่มน้ำส้มคั้น ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าต้องให้หลัง 6 เดือน เพราะเป็นช่วงที่สามารถให้อาหารเสริมกับเจ้าตัวเล็กได้แล้ว ที่สำคัญการให้น้ำส้มกับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นวัยใดก็ตามควรผสมน้ำในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง เนื่องจากส้มจะมีรสชาติเข้มข้นการให้น้ำส้มลูกโดยไม่ผสมอะไรเลย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองในระบบดูดซึมของลูกได้ค่ะ

พอลูกโตขึ้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณน้ำลง จนถึงอายุ 5 ขวบ แล้วค่อยให้น้ำส้มอย่างเดียว เนื่องจากน้ำส้มมีรสหวานมาก การผสมน้ำจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เจ้าตัวเล็กไม่ติดหวานตั้งแต่ตัวน้อยๆ ค่ะ

สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตและเบาหวาน ถ้าคิดจะกินส้ม ขอบอกไว้ก่อนนะคะ ว่าควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มเป็นผลไม้ที่ให้โปแตสเซียมและน้ำตาลสูง จึงควรกินเป็นผลเพราะจะมีกากใยดีกว่าเป็นน้ำส้มคั้น เพราะน้ำส้มคั้น 1 แก้วต้องใช้ส้มหลายผล

ส้ม...การเลือกซื้อ

การเลือกซื้อส้มที่มีรสหวาน รสชาติอร่อยนั้น ควรเลือกที่มีผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เช่นเดียวกับมะนาวที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบางก็จะให้น้ำเยอะ ถ้าเป็นส้มเขียวหวานก็จะหวานมาก ยกเว้นมะกรูดค่ะ เพราะธรรมชาติของมะกรูดผิวจะขรุขระไม่เสมอกันอยู่แล้ว

ทราบคุณประโยชน์ที่แตกต่างของส้มแต่ละชนิด รวมทั้งการเลือกซื้อเพื่อให้ได้ส้มที่คุณภาพดีกันแล้ว ผลไม้ตั้งโต๊ะของครอบครัวมื้อต่อไปต้องไม่พลาดส้มแน่นอนใช่มั้ยคะ

http://health.kapook.com/view1080.html

ประโยชน์ของกล้วย

ประโยชน์ของกล้วย

เราคงจะไม่ปฏิเสธว่า "กล้วย" เกี่ยวข้องและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง สิ้นอายุขัย...

ในสมัยโบราณ เมื่อสตรีจะคลอดบุตรมักจะมีการจัดเครื่องบูชาสำหรับหมอตำแยเพื่อทำพิธีกรรมที่เป็น มงคลแก่แม่ และลูกที่จะคลอดออกมา เครื่องบูชามักจะประกอบด้วย ขันข้าว ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสาร เงิน และสิ่งของต่าง ๆ ได้แก่ หมาก พลู ธูป เทียน และในจำนวนนี้จะต้องมีกล้วยอยู่เสมอ

เมื่อทารกอายุได้ประมาณ 3 เดือน และพร้อมที่จะรับประทานอาหารอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว แม่จะเริ่มให้ลูกรับประทานกล้วยควบคู่กับนม เพราะเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูง และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

เมื่อลูกโตขึ้น แม่ก็จะพยายามประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก ของเล่นเหล่านั้นส่วนหนึ่งก็มาจากกล้วย เป็นต้นว่า

นำก้านกล้วยมาทำเป็นปืนเด็กเล่น

นำก้านกล้วยมาทำเป็นม้าสำหรับขี่

นำใบตองมาม้วนทำเป็นปี่สำหรับเป่า

นำหยวกกล้วยมาทำเป็นทุ่น หรือแพ สำหรับหัดว่ายน้ำ

ในวัยศึกษาเล่าเรียน กล้วย ก็เข้ามาสู่ห้องเรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น

ผูกเป็นปริศนาให้ทาย เช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว"

ใช้เปรียบเทียบกับความงามของสุภาพสตรีในวรรณคดี เช่น "เรื่องกามนิต-วาสิฏฐี ที่ว่า ขาเธองามดุจลำกล้วย"

ใช้ในคำพังเพยเปรียบเทียบการทำลายล้างเผ่าพันธุ์อย่างถอนรากถอนโคลน "โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก"

ใช้ในสำนวนหรือคำพังเพยแสดงความหมายว่าเป็นเรื่องง่าย ๆ เช่น ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก เรื่องกล้วย ๆ กล้วยมาก

ตลอดช่วงชีวิตมนุษย์ สามารถใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของกล้วย เช่น ใช้เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ประดิษฐ์เป็ฯของใช้ ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค

ในงานบวช และงานมงคลต่าง ๆ กล้วย มักจะถุนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของงานในลักษณะต่าง ๆ เสมอ เช่น

ใบตองกล้วย ถูกนำมาใช้ประดิษฐ์เป็นบายศรีเป็นส่วนประกอบ ของพวงมาลัย

ก้านกล้วย และใบตอง นำมาใช้เป็นกระทง

กล้วยทั้งเครือ นำมาประดับบ้าน เวลามีงานมงคล

เมื่อถึงคราวที่หนุ่ม สาวจะเข้าสู่พิธีแต่งงานกล้วยจะเป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่มักจะนำมาใช้ เป็นส่วนประกอบของงานเสมอ เช่น

ใช้ต้นกล้วยเป็นส่วนประกอบในขบวนแห่ขันหมาก

ใช้ผลกล้วย ใบกล้วย ก้าน และหยวกกล้วย เป็นส่วนประกอบในการประกอบพิธีการต่าง ๆ

ในการปลูกสร้างบ้านเรือนกล้วยจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำพิธียกเสาเอกลงหลุมโดยเขามัก จะใช้หน่อกล้วยและต้นอ้อยผูกไว้ที่ปลายเสาเอกและเมื่อทำพิธียกเสาลงหลุมเสร็จก็จะปลดเอาหน่อกล้วย และต้นอ้อย ไปปลูกไว้ในบริเวณใกล้บ้าน พยายามประคับประคองให้เจริญงอกงามเพราะถือว่าเป็น เครื่องเสี่ยงทายความอุดมสมบูรณ์ของเจ้าของบ้าน

จวบจนกระทั่ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มนุาย์เราก็ยังเกกี่ยวข้องกับกล้วยอย่างมิเสื่อมคลาย ในสมัยก่อน เขามักใช้ใบตองมารองศพ ใช้ต้นกล้วยมาสลักหยวก(แทงหยวก) ประดิษฐ์ในเมรุ หรือโลงศพ ใช้ต้นกล้วย ใบตอง ทำฐานเสียบดอกไม้ประดับในงานศพ "กล้วยเจ้าเอ๋ย...เจ้ามิเคยห่างหายไปจากข้าเราผูกพันกับเจ้า ตลอดมา และตัวข้าจะลืมเจ้าได้ฉันใดเล่าเพื่อนเอย"



http://www.dsc.ac.th/inweb/student_job/ann/banana4.htm

โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น

โรคเบาหวานคืออะไร

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท


http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/endocrine/DM/intro.htm

ข้าวกล้อง


ข้าวกล้องคืออะไร
คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง
• ได้วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว
ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง

• ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

ผลเสียของการกินข้าวขาว
โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)
• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)
• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)
• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้นฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย
• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)
• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)
• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก
• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว
• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%
• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว
• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม
• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง
• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า “ข้าวซ้อมมือ” ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น…


http://zybernia.wordpress.com/2009/01/14/milled-rice/

ข้าวโพดดีอย่างไร


นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ

รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาา ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว
จะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อนว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไปสู้กิน
ดิบ ๆ ไม่ได้



แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้

แม้ว่าจะสูเสียวิตามินซีไปเขาได้พบในการ ต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอัน เป็นตัวล้างพิษเพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นตามลำดับนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูล อิสระซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ







ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ชรา ต่างๆ

อย่างเช่นต้อกระจกและโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้น


กรดเฟรุลิกเป็นพวกพฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้

มีอยู่ไม่มากนักแต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่นการทำให้มันสุกจึงช่วยทำ ให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาได้มากขึ้น.


http://variety.teenee.com/foodforbrain/2456.html

ต้นหอมสรรพคุณ / ประโยชน์


ต้นหอมสรรพคุณ / ประโยชน์


ต้นหมอมีคุณค่าทางอาหารเหมือนผักทั่ว ๆ ไป ที่ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ในสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการดูดซึมของร่างกายและมีเบต้า-แคโรทีน ปานกลางช่วยเป็นเกราะกันมะเร็งได้


ต้นหอม สรรพคุณ

ขับเหงื่อ แก้อักเสบบวมแดง ป้องกันโรคหวัดเย็น ปวดศีรษะ คัดจมูก ฝีหนองบวมปวด รักษาอาการฟกช้ำเนื่องจากถูกตี รักษาอาการปวดท้องเนื่องจากความเย็น ปัสสาวะ อุจจาระขัด บิด เป็นยาบำรุงไต บำรุงสายตา เสริมสมรรถภาพทางเพศ กระจายเลือดคั่ง ขับพยาธิ รักษาอาการเลือดกำเดาไหล ทำให้ร่างกายอบอุ่น เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย บำรุงสมอง ขับพยาธิเข็มหมุด เด็กท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย กระตุ้นให้หลั่งน้ำนม เพิ่มน้ำนม จมูกอักเสบ พยาธิตัวกลมในเด็ก

http://www.n3k.in.th/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3/%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1

ประโยชน์ของพริกไทย

ประโยชน์ของพริกไทย
พริกไทย เป็นเครื่องเทศที่ใช้กันแพร่หลายมาเป็นเวลานาน มีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณเทือกเขาทางภาคตะวันออก
เฉียงใต้ ของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศที่มี อากาศร้อน เช่น บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฯลฯ พริกไทยมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pipernigrum Linn ชื่ออังกฤษ pepper อยู่ในวงศ์ piperaceae ลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อย มีราก เล็ก ๆ ออกตามข้อของลำต้น เพื่อใช้ในการยึดเกาะ ใบรูปไข่เรียวสลับกันไป ดอกเป็นช่อยาว ออกตรงซอกใบ ดอกย่อยสมบูรณ์ เพศสีขาว ผลมีลักษณะกลมจัด เรียงตัวแน่นอยู่บนแกน ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีสีแดง พริกไทยแบ่งตามวิธีการเก็บ และเตรียมได้เป็น 2 ชนิด คือพริกไทยดำ (black pepper) และพริกไทยล่อน (white pepper) พริกไทยดำตรียมได้จากการนำผล
พริกไทยที่โตเต็มที่ แต่ยังไม่สุก มาตากแห้ง ส่วนพริกไทยล่อนได้จากการนำผลพริกไทยที่สุกแล้ว มาแช่ในน้ำ เพื่อลอกเปลือกชั้นนอกออกไป จากนั้น นำไปตากแห้ง

เมื่อนำพริกไทยมากลั่นด้วยไอน้ำ จะได้น้ำมันหอมระเหย เรียกว่าน้ำมันพริกไทย ในปริมาณร้อยละ 2-4 โดย พริกไทยดำ จะมีปริมาณน้ำมันหอมระเหยสูงกว่า และมีกลิ่นฉุนกว่าพริกไทยล่อน องค์ประกอบหลักของน้ำมัน
พริกไทย จะเป็นสารประกอบ จำพวก monoterpenes ร้อยละ 60-80 sesquiterpenes ร้อยละ 20-40 ที่สำคัญได้แก่ Limonene, B-caryophyllene, B-pinene, -pinene เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้มีการ
ศึกษาโอลิโอเรซิน พริกไทย โดยนำพริกไทยมาสกัด ด้วยตัวทำละลาย พบว่า โอลิโอเรซินประกอบด้วย สารจำพวก อัลคาลอยด์ ที่สำคัญคือ piperine (ร้อยละ 5-9), piperidine, piperanine ฯลฯ ซึ่ง piperine และ piperanine นี้เองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดกลิ่นฉุน และรสเผ็ด

การนำพริไทยมาใช้ประโยชน์ นอกจากจะใช้แต่งกลิ่นรส และถนอมอาหารแล้ว ยังนำมาใช้เป็นสมุนไพรด้วย โดยมีสรรพคุณตามตำรับยาไทยคือ ใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ บำรุงธาตุเจริญอาหาร ขับเหงื่อ ขัับปัสสาวะและกระตุ้นประสาท ชาวจีนใช้พริกไทยระงับอาการปวดท้อง แก้ไข้มาลาเรีย แก้อหิวาตกโรค มีรายงานว่า piperine สามารถใช้แก้ลมบ้าหมู (Antiepileptic) ได้ และเมื่อเตรียมอนุพันธ์ของ piperine
คือ Antiepilepsinine พบว่าสามารถแก้อาการชักได้ดีกว่าและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ในขั้นตอนการผลิตพริกไทยดำ จะได้ส่วนที่เป็นพริกไทยเบา หรือเมล็ดลีบออกมาด้วย ชาวสวนส่วนใหญ่ จะนำพริกไทยเบานี้ไปทิ้ง หรือนำไปทำปุ๋ย ห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (หป.ทผ.) จึงได้ นำพริกไทยเบาส่วนนี้มาศึกษา การสกัดน้ำมันหอมระเหยและโอลิโอเรซิน พบปริมาณน้ำมันหอม ระเหย
ร้อยละ0.5 โดยมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ใกล้เคียงกับน้ำมันพริกไทยดำและมีปริมาณโอลิโอเรซิน
ร้อยละ 10 ซึ่งประกอบด้วย piperine ร้อยละ 1.2 ซึ่งน้อยกว่าปริมาณ piperine ในพริกไทยดำ

http://www.muansuen.com/bbs/viewthread.php?tid=1264

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก


พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระนามเดิมว่า ด้วง หรือ ทองด้วง ประสูติ ณ กรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 เป็นบุตรของพระอักษรสุนทร (ทองดี) ข้าราชการอาลักษณ์ กับท่านหยก ธิดาเศรษฐี เมื่อพระชนมายุได้ 12 ปี ได้เข้าถวายตัวเป็นฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต ครั้นเมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวง ครั้นมีพระชันษา 25 ปี ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรีเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึกได้ 1 ปี ท่านได้เข้ามารับราชการในกรุงธนบุรี ในตำแหน่ง พระราชวรินทร์ ในกรมพระตำรวจหลวง ได้ทรงเป็นกำลังสำคัญในการกู้บ้านเมืองหลายครั้งหลายคราว ตั้งแต่พระชนมายุได้ 32 พรรษา จนถึง 47 พรรษา ทรงกรำศึกสงครามมากมาย เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2301 ได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ไปปราบเจ้าพิมาย พ.ศ. 2312 เป็นแม่ทัพไปตีเมืองกัมพูชา ตีได้เมืองพระตะบองและเมืองเสียมราฐ ด้วยความดีความชอบในการสงครามอย่างมากมาย ต่อมาใน พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนยศและบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระยายมราชและเจ้าพระยาจักรี ตามลำดับ และยังเป็นแม่ทัพในการรบกับพม่าอีกหลายครั้งเริ่มตั้งแต่การตีเอาเมืองเชียงใหม่คืนจากพม่า และได้เคยรบกับอะแซหวุ่นกี้ แม่ทัพคนสำคัญของพม่าที่เมืองพิษณุโลก จนถึงกับแม่ทัพพม่าขอเจรจาหยุดรบเพื่อขอดูตัว และได้กล่าวยกย่องสรรเสริญว่า “ท่านนี้รูปก็งาม ฝีมือก็เข็มแข็งอาจสู้รบกับเราผู้เฒ่าได้ จงอุตสาห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้เป็นกษัตริย์เป็นแท้” พระองค์ได้รับราชการในกรุงธนบุรีจนกระทั่งได้เลื่อนยศและบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระมหากษัตริย์ศึก เพราะเหตุที่ได้รับพระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม ประชาชนจึงขนานพระนามว่า “สมเด็จเจ้าพระยา”

ครั้นปลายรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เกิดการจลาจลขึ้นในกรุง กล่าวคือ กรรมบันดาลให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีพระอัธยาศัยผิดปกติไปจากพระองค์เดิม ก่อความเดือดร้อนให้แก่ปวงชนทั้งภิกษุและฆราวาส พระยาสวรรค์กับพวกจึงคิดการกบฏ ควบคุมองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไปขังไว้แล้วตนออกว่าราชการแทน จึงเกิดความกันระหว่างทั้งสองฝ่าย คือ ฝ่ายกบฏกับฝ่ายต่อต้านกบฏ ขณะนั้นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกำลังไปราชการ ทัพอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ทราบข่าวการจลาจลจึงรีบยกทัพกลับกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ราษฎรเป็นจำนวนมากต่างพากันชื่นชมยินดี ออกไปต้อนรับ ต่างขอให้ช่วยปราบยุคเข็ญ ครั้นมาถึงพระราชวัง ข้าราชการ ทั้งปวงก็พากันอ่อนน้อมแล้วอัญเชิญเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินธร มหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2325 นับเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

พระบรมสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระอัครมเหสี พระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราพระบรมราชินี ทรงเป็นพระบรมราชินีองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระนามเดิมว่า นาค พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวมทั้ง 42 พระองค์ และพระราชโอรสที่ประสูติในพระอัครมเหสี มี 9 พระองค์ ได้แก่

สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระเยาว์
สมเด็จเจ้าฟ้าชาย สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระเยาว์
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ พระราชชายาในสมเด็จพระเจ้าตากสินและพระราชมารดาในเจ้าฟ้ากรมขุนกระษัตรานุชติ
สมเด็จเจ้าฟ้าชายฉิม ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงแจ่ม ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระเยาว์
สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุ้ย ต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิ้นพระชนม์ตั้งแต่พระเยาว์
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง ต่อมาได้รับสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพยวดี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัตินาน 28 ปีเศษก็เสด็จ สวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. รวมพระชนมายุได้ 74 พรรษา




พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก



การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ด้วยทรงเป็นองค์ปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทรงมีราชภารกิจที่มากมายหลายประการในเวลาเดียวกัน และด้วยทรงตั้งปณิธานที่แน่วแน่ว่า “ตั้งใจจะอุปถัมภ์ภก ยอยกพระพุทธศาสนา จะป้องขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแลมนตรี” ด้วยพระราชปณิธานอันนี้ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการป้องกันประเทศ ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม สถาปนาราชธานีใหม่ สร้างพระบรมมหาราชวัง เป็นต้น

โดยพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประการแรก ทรงโปรดเกล้าให้มีการสร้างราชธานีใหม่แทนกรุงธนบุรี การที่ทรงย้ายราชธานีใหม่มาอีกทางฟากหนึ่งของแม่น้ำนั้นทรงใช้หลักเหตุผลทางยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ เพราะทางฟากตะวันออกนั้น

แผ่นดินมีลักษณะเป็นหัวแหลมอีกทั้งยังมีแม่น้ำเป็นคูเมืองทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้เป็นชัยภูมิรับศึกได้เป็นอย่างดี และไกลออกไปทางทิศตะวันออกก็เป็นที่ราบลุ่ม ดินอ่อนเป็นโคลนเลน เป็นด่านป้องกันข้าศึกได้เป็นอย่างดี ทำให้ข้าศึกที่ยกทัพเข้ามาถึงชานพระนครได้ยาก การสร้างใช้เวลา 3 ปี มีกำแพงเมืองและป้อมปราการมั่นคง เขตกำแพงพระนครนั้นมีอาณาเขตตั้งแต่ มุมพระนครด้านเหนือตรงปากคลองบางลำพู ริมป้อมพระสุเมรุ เสียบริมคลองคูพระนครมาทางตะวันออก จนถึงป้อมมหากาฬ ก็ตัดลงมาทางทิศใต้จนถึงตรงปากคลองโอ่งอ่างริมป้อมจักรเพชร จึงตัดกลับขึ้นไปทางทิศตะวันตกเลียบแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปจนถึงมุมกำแพงพระบรมมหาราชวังทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ต่อเข้ากับกำแพงพระบรมมหาราชวังบริเวณป้อมสัตบรรพต ยาวตลอดไปจนถึงป้อมอินทรังสรรค์ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ (กำแพงช่วงนี้ใช้เป็นกำแพงร่วมกับกำแพงพระบรมราชวัง) แล้วจึงตัดกลับไปจนถึงป้อมพระจันทร์ ซึ่งเป็นป้อมมุมพระราชวังบวรสถานมงคล ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้กำแพงพระนครช่วงนี้ อาศัยกำแพงพระราชวังบวรสถานมงคลด้านตะวันตก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงป้อมพระอาทิตย์ มุมพระราชวังบวรสถานมงคลด้านทิศเหนือ จนถึงป้อมพระสุเมรุ บรรจบเข้ากับกำแพงพระนครเมื่อตนเริ่มต้น กำแพงพระนครนี้ก่อด้วยอิฐถือปูน มีเชิงเทินข้างใน บนสันกำแพงสร้างใบเสมาสำหรับบังทางขึ้นเว้นระยะเสมอกันรอบพระนคร ใต้ฐานเสมาด้านนอกกำแพงถือปูนขึ้นทำลวดลายบังผ่าหวาน 2 ชิ้น ชักเป็นหน้ากระดาน ในพื้นกระดานนี้เจาะเป็นช่องกากบาทอยู่ตรงกลางช่อง ระหว่งใบเสมาทำเป็นช่องสอดปืนเล็กสำหรับใช้ยิงเมื่อคราวสงคราม เว้นระยะห่างเสมอกันตลอดแนวพระนคร (กำแพงพระนครที่ยังเหลือให้เห็นในปัจจุบันคือบริเวณริมคลองรอบพระนคร ตรงด้านหน้าวัดราชนัดดาราม และวังบวรนิเวศ) อีกทั้งโปรดเกล้า ฯ ให้ขุดคูเมืองทางทิศตะวันออก ที่เรียกว่า “คลองบางลำพูหรือคลองโอ่งอ่าง” ในปัจจุบันพระองค์พยายามจัดผังเมืองให้มีความคล้ายคลึงกับกรุงศรีอยุธยามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สร้างวัดเป็นหลักของพระนคร คือ วัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมราชวัง วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดพระเชตุพน ทั้งนีร้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนว่า ไทยเราได้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่แล้วเหมือนในสมัยอยุธยา และทรงพระราฃทานนามราชธานีใหม่นี้ว่า “กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์” รวมถึงการสร้างพระบรมรามหาราชวังขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มมีการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2326 จนแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2327 ทรงสร้างพระมหาปราสาทราชมณเฑียรสถานขึ้นมาในขั้นแรก ได้ แก่

1. พระราชมณเฑียรชั่วคราว โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับชั่วคราว พระราชมณเฑียรแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2326 ได้ก่อสร้างพระมหามณเฑียรสถานเพื่อประทับเป็นการถาวรเสร็จ จึงได้รื้อพระราชมณเฑียรชั่วคราวออกไป

2. พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท เป็นปราสาทองค์แรกที่สร้างขึ้นมาในพระบรมมหาราชวัง โดย พระที่นั่งองค์นี้ได้จำลองแบบมาจากพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท ในกรุงศรีอยุธยา แต่ภายหลังได้ถูกสายฟ้าฟาดทำ ให้เกิดไฟไหม้เสียหาย หลังจากได้ใช้งานเพียง 5 ปีเท่านั้น

3. พระมหามณเฑียร มีพระที่นั่งประกอบกันถึง 7 องค์ ได้แก่

1. พระที่นั่งจักรพรรดิมาน
2. พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
3. พระที่นั่งอมมรินวินิจฉัยไหสูรยพิมาน พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นท้องพระโรงมาจนถึงในปัจจุบัน
4. พระปรัศว์ขวาและพระปรัศว์ซ้าย
5. หอพระสุราลัยพิมาน
6. หอพระธาตุมณเฑียร
7. พระที่นั่งดุสิดาภิรมย์
4. พระมหาปราสาท หมายถึง หมู่พระที่นั่ง ประกอบด้วยพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และพระที่นั่งพิมานรัถยา และพระปรัศว์

5. พระที่นั่งพลับพลาสูง ในปัจจุบัน คือ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ปราสาท

6. พระที่นั่งทอง เป็นพระที่นั่งขนาดย่อม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในสวนวนขวา สำหรับประพาสในพระบรมมหาราชวัง




ด้านการป้องกันประเทศ
พระองค์ทรงตรากตรำและทรงใช้สติปัญญา คามกล้าหาญเด็ดขาดตลอดพระชนม์ชีพในการทำสงครามป้องกันพระราชอาณาจักร ในรัชกาลของพระองค์มีการทำส งครามกับพม่า ถึง 7 ครั้ง โดย กองทัพไทยได้ยกไปตีเมืองตะนาวศรี เมืองมะริดและเมืองทวาย ในเขตแดนของพม่าด้วย เป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยได้มีการฟื้นตัวมีความเข็มแข็งมากพอแล้ว เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวไทยเป็นอย่างมาก การสงครามที่ทรงแสดงพระอัจฉริยภาพอย่างมากก็คือ ในตอนต้นรัชกาล คือ สงคราม 4 ทัพ เมื่อ พ.ศ. 2328 พระเจ้าปดุงแห่งราชวงศ์อลองพญา ได้ปราบปรามหัวเมืองมอญและไทยใหญ่ได้ราบคาบ มีพระประสงค์จะเพิ่มพูนพระเกียรติด้วยการปราบปรามประเทศไทย จึงรวบรวมไพร่พลได้ถึง 144,000 คน กรีฑาทัพเข้าตีประเทศไทย แบ่งเป็น 9 ทัพใหญ่ รุกเข้ามาพร้อมกันถึง 5 เส้นทาง ตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทางด้านทิศเหนือพม่าได้ยกกองทัพเข้ามาทางเมืองลำปาง และหัวเมืองทางด้านแม่น้ำแควใหญ่ แม่น้ำยม อีกด้านเข้าตีหัวเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง เริ่มตั้งแต่เมืองตาก เมืองกำแพงเพชรลงมา ทัพหลวงซี่งเป็นทัพที่ใหญ่ที่สุดเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเข้าตีพระนคร ทางด้านทิศใต้เข้ามาทางด่านบ้องตี้ตีเมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี เพื่อไปสมทบกับทัพเรือที่เข้ามาทางด่านเมืองมะริด

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีกำลังทหารเพียงครึ่งหนึ่งของกองทัพพม่า คือ เพียง 70,000 คนเศษ ได้ทรงใช้ยุทธวิธีใหม่ในการทำศึกสงครามครั้งนี้ โดยทรงยกทัพไปตั้งรับพม่าที่เมืองกาญจนบุรี ส่วนอีกทัพหนึ่งทรงให้ไปตั้งรับพม่าที่เมืองนครสวรรค์และเมืองราชบุรี อีกด้านหนึ่งทรงส่งพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จไปตั้งค่ายมั่นที่ทุ่งลาดหญ้าเชิงเขาบรรทัด คอยสกัดทัพจากพม่าไม่ให้ลงมาจากเขาได้ กองทัพพม่าจึงต้องหยุดตั้งค่ายที่เชิงเขา ทำให้ต้องรับเสบียงอาหารจากแนวหลังเพียงทางเดียว ทางกองทัพจึงจัดหน่วยกองโจรเข้าปล้นเอาเสบียง กองทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อเข้ารบพุ่งกันพม่าจึงพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เมื่อได้รับชัยชนะแล้วพระอนุชาธิราชจึงรีบยกทัพขึ้นไปช่วยทัพทางด้านอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้

ในปีต่อมาพม่าก็ยกทัพมาตีไทยอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า สงครามท่าอินแดงและสามสบ คราวนี้พม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด แก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่เคยประสบมาเมื่อครั้งก่อนคราวนี้พม่าไดด้กรีฑาทัพผ่านเข้ามาทางด่านเจดีย์ 3 องค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดง และสามสบพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีค่ายที่ท่าดินแดงพร้อมกับทัพกรมพระราชวังบวรฯ ตีค่ายพม่าที่สามสบรบกันอยู่ 3 วัน ค่ายพม่าก็แต่ทุกค่าย กองทัพไทยไล่ตามติด ๆ ไปชนะค่ายพระมหาอุปราชาที่ลำแม่น้ำกษัตริย์อีกค่ายหนึ่ง กองทัพพม่าจึงพ่ายอย่างยับเยิน เสียผู้คน พาหนะเสบียงอาหารและศัสตราวุธเป็นอันมาก แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถอย่างแท้จริงในการสงครามและในรัชกาลนี้ได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลกองทัพพม่าจากล้านนา หัวเมืองภาคเหนือและราชอาณาเขตได้โดยเด็ดขาด ทำให้ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทยใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทร์ กัมพูชา และด้านทิศใต้ มีดินแดงไปถึงเมืองตรังกานู กลันตัน ไทรบุรี ปะริดและเประ



การชำระประมวลกฎหมาย
การชำระกฎหมายนี้สำคัญยิ่ง เพราะกฎหมายย่อมเป็นมาตรฐานในการกำหนดความสัมพันธ์ ของประชาชนในประเทศ ว่าแต่ละคนมีสิทธิ์และหน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อตนเอง ผู้อื่นและประเทศชาติอย่างใดเพียงใด เหตุที่เสียกรุงศรีอยุธยาอย่างไม่เป็นชิ้นดี พระราชกำหนดกฎหมายต่าง ๆ จึงกระจัดกระจายฟั่นเฟื่อน ไม่สามารถยึดถือเป็นหลักยุตธรรมของบ้านเมืองได้ ดังนั้นเมื่อ พ.ศ. 2347 จึงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาชำระกฎหมายที่มีอยู่ให้ถูกต้องและบริบูรณ์ และผ่านการวินิจฉัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ให้นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองต่อไป กฎหมายที่ทรงชำระนั้นได้ใช้สืบเนื่องมาจนถึงรัชสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงยุติการใฃ้กฎหมายของรัชกาลที่ 1 ลง โดยได้ใช้ยึดถือปฏิบัติมาเป็นเวลาถึง 131 ปี




ด้านการปกครอง
การปกครองประเทศนั้น ทรงจัดแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นในและชั้นนอก ส่วนตำแหน่งที่รองลงมาจากพระมหากษัตริย์นั้น คือ ตำแหน่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และในส่วนข้าราชการนั้นมีอัครเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ พระสมุหกลาโหม มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและข้าราชการฝ่ายพลเรือน คือ สมุหนายก มีหน้าที่ดูแลปกครองความสงบเรียบร้อยโดยทั่วไปในพระนคร

ส่วนตำแหน่งรองลงมาอีก 4 ตำแหน่ง เรียกว่า เสนาบดีจตุสดมภ์ ประกอบด้วย

เสนาบดีกรมเมืองหรือกรมเวียง ใช้ตราพระยมทรงสิงห์เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่บังคับบัญชารักษาความปลอดภัยให้แก่ราษฎรโดยทั่วไปในราชอาณาจักร
เสนาบดีกรมวัง ใช้ตราเทพยดาทรงพระนนทิกร (โค) เป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่บังคับบัญชาการในพระบรมมหาราชวัง และพิจารณาความคดีแพ่ง
เสนาบดีกรมพระคลัง ใช้ตราบัวแก้วเป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่ในการรับ-จ่าย และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้จากการเก็บส่วนอากร รวมถึงบังคับบัญชากรมท่า และการค้าขายที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างประเทศ และกรมพระคลังต่าง ๆ เช่น กรมพระคลังสินค้า
เสนาบดีกรมนา ใฃ้ตราพระพิรุณทรงนาคเป็นตราประจำตำแหน่ง มีหน้าที่บังคับบัญชา เกี่ยวกับกิจการนาไร่ทั้งหมด



ด้านการบำรุงพระศาสนา
ได้ทรงทำนุบำรุงพระศาสนาเป็นอย่างมากและเกิดผลต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ รวบรวมได้ 3 ลักษณะ

ประการที่ 1 ทรงชำระและสถาปนาพระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ ให้ดำรงสมณศักดิ์รับผิดชอบศาสนจักรให้รุ่งเรืองต่อไป และได้ทรงตราพระราชกำหนดกฎหมายกวดขันการประพฤติของพระสงฆ์ไว้ อย่างเคร่งครัด

ประการที่ 2 ทรงชำระพระไตรปิฏกให้ถูกต้องบริบูรณ์ เป็นหลักในการศึกษาค้นคว้า

ประการที่ 3 มีพระราชศรัทธาก่อสร้างและซ่อมแซมปฏิสังขรณ์พระอารามน้อยและใหญ่ไว้เป็นอันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การสถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามและวัดสุทัศน์เทพวราราม

การทะนุบำรุงพระศาสนาข้อที่สำคัญที่สุด คือ การทำสังคายนาชำระพระไตรปิฎก พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤติยากร ทรงพระนิพนธ์เรื่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมทรงบรรยายร่วมกับการชำระพระไตรปิฎกไว้ดังนี้

การชำระพระศาสนาของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ นั้น ทรงเริ่มต้นด้วยการทำสังคายนาพระไตรปิฎกด้วยทุนรอนที่โปรดเกล้าฯ ให้จ่ายจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ แต่ต่อมาความปรากฏว่าพระไตรปิฎกฉบับที่ชำระจากพระคัมภีร์ไม่ถูกต้อง มีความผิดเพี้ยนอยู่เป็นอันมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการชำระใหม่ในปีวอก พ.ศ. 2331 อันเป็นปีที่ ท 6 ในรัชกาล เป็นเวลาที่ว่างจากศึกสงคราม เจ้าพระยาทิพากรวงษ์ ผู้เขียนพระราชพงศาวดาร ได้กล่าวไว้ว่า

“พระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชรำพึงถึงพระไตรปิฎกธรรมอันเป็นมูลรากแห่งพระปริยัติศาสนา ทรงพระราชศรัทธาพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากให้เป็นค่าจ้างลานจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน แต่บรรดามีฉบับไหนที่ใด ๆ เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ ก็ใช้อักษรแปลงออกเป็นอักษรขอม สร้างขึ้นไว้ในตู้ ณ หอพระมณเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ให้เล่าเรียนทุก ๆ พระอารามหลวงตามความปรารถนา”

แต่ท่านจึงจหมื่นไวยวรนารถ กราบทูลว่า “พระไตรปิฎกซึ่งทรงพระราชศรัทธาสร้างขึ้นไว้ทุกวันนี้อักขระบท พยัญชนะตกวิปลาสอยู่แต่เดิมมา หาผู้จะทำนุบำรุงแต่งเติมดัดแปลงให้ถูกต้องบริบูรณ์ขึ้นมาได้” ครั้นทรงสดับจึงทรงปรารภว่า “พระบาลีและอรรถกถาฎีกาพระไตรปิฎกฉบับทุกวันนี้ เมื่อแลผิดเพี้ยวิปลาสอยู่เป็นอันมากฉะนี้ จะเป็นเค้ามูลพระศาสนาและปฏิบัติศาสนาจะเสื่อมสูญเป็นอันเร็วนักสัตว์โลกทั้งปวงจะหาที่พึ่งบ่มิได้ ในอนาคตภายหน้า ควรจะทะนุบำรุงพระศาสนาไว้ให้ถาวรการเป็นประโยชน์แก่เทพยดาดมนุษย์ทั้งปวงจึงจะเป็นทางพระโพธิญาณบารมี……….”

จึงทรงเรียกพระบรมวงศานุวงศ์ มีพระบาทสมเด็จพระบวรราชเจ้าในรัชกาลนั้น เป็นประธานในพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท อารธนาสมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะ ฯลฯ 100 รูป มารับพระราชดำรัสให้จัดการทำสังคายนา ณ วัดนิพพานาราม (วัดมหาธาตุ) ซึ่งพระราชทางนามใหม่ในโอกาสนี้ว่า “วัดพระศรีสรรเพ็ชรดาราม” ทรงบริจาคพระราชทรัพย์แจกจ่าย เกณฑ์พระราชวงศ์ข้าราชการทั้งฝ่ายในและฝ่ายหน้าให้ทำสำรับคาวหวานถวายพระสงฆ์ ซึ่งมาชำระพระไตรปิฎกทั้งเข้าเพลเวลา 436 สำรับ

เมื่อการทำสังคายนาเริ่มทรงเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวณอิสริยยศสู่พระอุโบสถ การทำสังคายนากระทำโดยแบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 4 กองคือ ชำระพระวินัย 1 พระสูตร 1 พระอภิธรรม 1 พระสัทธาวิเสส 1 แต่ละกองอยู่ห่างกันไปในบริเวณวัดนั้น ใช้เวลาทั้งหมด 5 เดือน จึงสำเร็จ ต่อมาพระราชทานพระราชทรัพย์จ้างช่างคฤหัสถ์และพระสงฆ์ สามเณรให้จารึกพระไตรปิฎกซึ่งชำระแล้วลงในใบลานเย็บเล่มเป็นคัมภีร์ มีปิดทองทับทั้งหน้าและหลัง และกรอบห่อด้วยผ้ายกเชือกรัด ถักด้วยไหมเบญจพรรณมีสลากงาและเป็นลวดลายเส้นหมึกและสลากทอ เรียกว่า ฉบับทอง เป็นอักษรบอกชื่อคัมภีร์เมื่อเสร็จแล้วทุกคัมภีร์ ทรงจัดงานฉลองสมโภชขึ้นเป็นมหกรรมพระไตรปิฎกหลวงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานไว้ในหอพระมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ส่วนทางด้านศาสนาสถานนั้น ในขั้นแรกทรงสถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขึ้นเป็นพระอารามหลวง พร้อมกับการสถาปนาพระบรมมหาราชวัง ในปี พ.ศ. ขึ้น เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้ฟื้นฟูแล้ว เมื่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเสร็จทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนศาสดาราม หรือที่เรียกกันติดปากว่า พระแก้วมรกต มาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระพุทธมหามณีรัตนศาสดารามเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญมากของไทยเราปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรื่องราวของพระแก้วมรกตมีปรากฏมาแต่เดิมในตำนาน “รัตนพิมพวงศ์” ซึ่งแต่งเป็นภาษามคธ เล่าสืบกันมาว่า “พระแก้วมรกตนี้ เทวดาเป็นผู้สร้างถวายนาคเสนเถระ พระอรหันต์องค์หนึ่งที่เมืองปาฏลีบุตร พระนาคเสนผู้นี้มีฤทธิ์สำเร็จด้วยอภิญญาณได้อธิษฐานอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เข้าประดิษฐานในองค์พระแก้วมรกต 7 แห่ง ๆ ละพระองค์ คือ พระเมาลี 1 พระนลาฏ 1 พระอังสาทั้ง 2 ข้าง และพระขานุทั้ง 2 ข้าง แล้วปิดเนื้อแก้วให้เป็นเนื้อเดียวกันดังเดิม”

พ.ศ. 2107 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองมีอำนาจขึ้น พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นว่า ตั้งอยู่ที่เมืองหลวงพระบางจะศึกพม่ามอญไม่ได้ จึงย้ายพระราชธานีไปตั้งที่เมืองเวียงจันทร์ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตขึ้นมาด้วยและทรงประดิษฐานอยู่ที่นั้นเป็นเวลาถึง 214 ปี จนเมื่อไทยได้ทำสงครามกับกรุงศรีรัตนาคนหุต พระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกไปตีเมืองเวียงจันทร์ จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตลงมาไว้ยังกรุงธนบุรี

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชสมบัติ ทรงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อ พ.ศ. 2325 โปรดให้สร้างพระอารามขึ้นมาในพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อวันจันทน์ เดือน 4 แรม 14 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2327 เป็นต้นมา




การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม



ด้านวรรณกรรม
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม ส่วนใหญ่เป็นการฟื้นฟูในด้านอักษรศาสตร์เป็นสำคัญ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นผู้พระราชนิพนธ์เองบ้าง กวีและผู้รู้เขียนขึ้นมาบ้าง ด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสนพระทัยในงานด้านวรรณศิลป์เป็นอย่างมาก ทรงพระราชนิพนธ์งานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าไว้จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ เป็นวรรณกรรมที่สำคัญเรื่องหนึ่งของไทย ด้วนจะเห็นเรื่องราวของวรรณคดีเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในงานศิลปะแขนงต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น จิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ การแสดงโขน เป็นต้น รามเกียรติ์ที่ทรงพระราชนิพนธ์รู้จักกันในชื่อว่า “รามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1”ทรงนิพนธ์ลงในสมุดปกดำแบบโบราณความยาวประมาณ 102 เล่มจบ มีคำประมาณ 195840 คำ ซึ่งถือว่าเป็นวรรณคดีไทยที่มีความยาวเรื่องหนึ่ง(ในปัจจุบันทางคุรุสภาได้จัดพิมพ์ลงในหนังสือ 8 หน้ายก 4 เล่ม รวม 2,796 หน้า) โดยสำนวนโวหารในพระองค์ท่าน จะเป็นสำนวนแบบทหาร ถ้อยคำที่ใช้ก็ตรงไปตรงมา

นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นอีก 3 เรื่อง คือ อิเหนา ดาหลังและอุณรุท อีกทั้งยังทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่องย่อย ๆ อีกเรื่องหนึ่งคือ นิราศท่าดินแดง ทรงพระราชนิพนธืขึ้นในขณะที่ทำสงคราม ณ สมรภูมิรบท่าดินแดง ด้วยในปี พ.ศ. 2329 ทรงทำสงคราม ณ สถานที่แห่งนั้น




ด้านสถาปัตยกรรม
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูงานช่างขึ้นมาใหม่ เนื่องด้วยในเวลานั้นช่างฝีมือดีในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นจำนวนมากเมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกเสียให้แก่พม่าข้าศึก ครั้นเมื่อได้รับอิสภาพช่างฝีมือก็เหลือน้อยเต็มที่ ทรงพระราชดำริให้ฟื้นฟูงานช่างประเภทต่าง ๆ เป็นต้นว่า งานช่างประดับมุก งานช่างเขียนลวดลายปิดทองรดน้ำ งานช่างเงินช่างทอง งานช่างไม้ งานช่างแกะสลัก เป็นต้น โดยทรงสนับสนุนให้ช่างที่ฝึกฝีมือเหล่านี้ได้มีโอภาสได้ทำงานช่างฝีมือต่าง ๆ เพื่อเป็นการฝึกฝีมือ เช่น ทรงโปรดให้ช่างเงินช่างทอง ทำเครื่องราชูปโภคตลอดจนเครื่องยศต่าง ๆ ที่พระราชทานให้แก่ผู้อื่น ถ้าเป็นเรื่องช่างก่อสร้างทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัด พระราชวัง เป็นต้น การข่างประณีตศิลป์เหล่านี้ได้รับการพื้นฟูขึ้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนี้เอง จนมีท่านผู้ใหญ่กล่าวว่า “ฝีมือช่างไทยเพิ่งมาดีขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นของหายากสิ่งใดที่พบเห็นในเวลานี้ บรรดาเป็นของช่างฝีมือดีในรัชกาลที่ 1 ทั้งสิ้น เช่น เครื่องราชูปโภค เป็นต้น หรือถ้าจะเลือกกล่าวแต่สิ่งของซึ่งคนทั้งหลายเห็นได้ด้วยกันโดยง่า ย เช่น งานประตูมุก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และงานมุกมณฑปพระพุทธบาทฝีมือเขียนฝาผนังพระอุโบสถ วัดราชบูรณะ เป็นต้น”




งานช่างประดับมุก
งานช่างประดับมุกที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้ การผูกลายยังคงได้รับอิทธิพลมากจากกรุงศรีอยุธยา โดยการผูกลายนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลายก้านขอเครือนก มีรูปแกะสลักที่ปลายเถาในศูนย์แต่ละวง และในบางทีมีการแทรกลวดลาย กระบี่ อสูร อมนุษย์ และเทพยดาในบริเวณสันฐานกรม ช้อนขึ้นไปตามความสูงของบานประตู

งานช่างประดับมุกชิ้นสำคัญ ๆ นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายสถานที่ ได้แก่

1. งานช่างประดับมุกประตูพระมณฑปพระพุทธบาท ที่เมืองสระบุรี 4 คู่ เมื่อปี พ.ศ. 2329

2. งานช่างประดับมุกบานประตูพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 6 คู่

3. พระแท่นราชบัลลังก์ หรือพระแท่นเศวตฉัตร ประดิษฐานในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

4. พระแท่นราชบรรจถรณ์ ประดิษฐานในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

5. คู้พระสมุด 2 หลัง ในหอพระมณเฑียรธรรม

6. ตู้พระภูษา ในหอพระมณเฑียรธรรม

7. ตู้พระไตรปิฏก ในพระมณฑป วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

8. บานประตูประดับมุก 4 คู่ ในพระมณฑป วัดพระศรีรัตนศาสดาราม




[แก้ไข] งานเครื่องไม้จำหลัก
งานเครื่องไม้จำหลักในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ นับเป็นศิลปกรรมชิ้นสำคัญซึ่งสร้างขึ้นด้วยความคิดหลักแหลมของฝีมือช่างผู้ชำนาญ คือ

1. งานพระที่นั่งบุษบกมาลาจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งองค์นี้เป็นพระราชบัลลังก์บุษบกมีเกรินประกอบทางด้านข้างทั้งสองด้าน โครงสร้างส่วนหนึ่งทำด้วยไม้จำหลักลวดลายปิดทองปิดกระจก ส่วนฐานตอนล่างเป็นฐานก่อด้วยอิฐปั้นปูนเป็นลวดลาย ประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัน

2. พระแท่นมหาเศวตฉัตร เป็นพระราชบัลลังก์สร้างขึ้นด้วยเครื่องไม้จำหลักลวดลาย มีรูปภาพประดับ 2 ชั้น ปิดทองประดิษฐานเหนือพระแท่นลา ภายใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร ในพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย พระแท่นองค์นี้มีลักษณะเด่นในทางการช่างไม้จำหลัก ตรงหน้ากระดานอุดร่องถุนในฐานชั้นที่ 2 และ 3 ซึ่งแกะเป็นลวดลายกระหนกก้านขด ฟื้นโปร่ง กระบวนผูกลายตามแบบนิยมในสมัยอยุธยา

3. พระที่นั่งบุษบกมาลา สร้างขึ้นด้วยไม้จำหลักปิดทองติดกระจก ส่วนที่เป็นบุษบก สร้างบนฐานเชิงบาทซ้อน 3 ชั้น แต่ละฐานประกอบด้วยเกรินจำหลักลวดลายกระหนกทั้ง 2 ข้าง ลักษณะเด่นในงานชิ้นนี้อยู่ตรงความงามและฝีมือแกะ

4. พระมหาพิชัยราชรถ เป็นราชพาหนะขนาดใหญ่ สร้างด้วยไม้จำหลักตกแต่งลวดลายด้วยการปิดทองและติดกระจกมีความงามมาก

5. หย่องจำหลัก เป็นการจำหลักเพื่อตกแต่ง มีชิ้นที่สำคัญที่ควรยกย่อง คือ หย่องไม้จำหลักประจำพระบัญชรในพระราชวังบวรฯ เป็นงานไม้จำหลักที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยในแต่ละช่องของพระบัญชรแตกต่างไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละช่อง กระบวนการในการผูกลายนั้นก็เป็นลวดลายที่สวยงามวิจิตรบรรจงอย่างยิ่ง และในหอมณเฑียรธรรมในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นงานจำหลักที่มีความงดงามไม่แพ้กัน โดยใช้ช่างไม้ผูกลายเป็นตัวเหราอยู่ในพื้นลวดลายโปร่งที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละช่อง




งานเขียนปิดทองรดน้ำ
การเขียนภาพปิดทองรดน้ำที่เป็นงานช่างประติมากรรม ที่นับว่าเป็นงานชิ้นที่สำคัญที่ควรยกย่องคือ ฉากเขียนภาพปิดทองรดน้ำเรื่อง พระราชพิธีอินทราภิเษก ซึ่งเขียนลงบนพื้นไม้กระดานเพลาะเข้าด้วยกันเป็นฉากขนาดใหญ่ สูง 2.2 เมตร ยาว 3.46 เมตร รูปภาพเขียนพรรณนาเรื่อง พระราชพิธีอินทราภิเษกตามเค้าที่มีมาตามกฎมณเฑียรบาลตั้งแต่ครั้งกรุงเก่า กระบวนการเขียนนั้นมีลักษณะที่มีพื้นเป็นสีดำ รูปภาพเป็นสีทอง วึ่งงานศิลปะประเภทนี้ได้รับอิทธิพลมาจากกรุงศรีอยุธยานั้นเอง



การถวายพระราชสมัญญานาม “มหาราช”



พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระอัจฉริยภาพไม่ว่าจะเป็นด้านการสงคราม ศาสนา การปกครอง และด้านศิลปวัฒนธรรม รวมถึงทรงเป็นผู้ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ขึ้นเป็นราชธานีใหม่ และทรงฟื้นฟูบ้านเมืองในทุกด้านทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขุดลอกคูคลอง วัดวาอารามต่าง ๆ ทั้งที่สร้างขึ้นมาใหม่ และที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ การป้องกันประเทศ ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในด้านสาขาต่าง ๆ ทั้งที่สร้างขึ้นมาใหม่ และที่ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ การป้องกันประเทศ ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในด้านสาขาต่าง ๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม วรรณกรรม งานช่างปิดทองรดน้ำ งานช่างประดับมุก งานช่างเขียน งานแกะสลัก เป็นต้น ด้วยทรงมีพระราชหฤทัยที่จะฟื้นฟูประเทศขึ้นมาให้มีความรุ่งเรืองสง่างามเท่าเทียมกับกรุงศรีอยุธยา ราชธานีเก่าซึ่งนับว่าเป็นความยากลำบากอย่างมาก ต้องอาศัยทั้งพระปรีชาสามารถและทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากแต่ก็สามารถทำให้สำเร็จลงได้ ดังนั้นเนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ทางกรุงเทพมหานครจึงได้ดำเนินการชักชวนประชาชนชาวไทย ถวายพระราชสมัญญานาม “มหาราช” ต่อท้ายพระนามาภิไธยด้วยประชาชนทั้งหลายนั้นได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกในการที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่เป็นพระคุณอย่างยิ่งต่อแผ่นไทย






พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงดำริเห็นชอบว่าควรสร้างอนุสรณ์ขึ้นในเวลานั้น ให้เป็นระลึกถึงสืบไป เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ครบ 150 ปี จึงมีพระราชดำริให้สร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ผู้ซึ่งสร้างกรุงเทพมหานคร และควรสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อพระนครฯให้ติดกับเมืองธนบุรี เพื่อให้ใช้เป็นสาธารณประโยชน์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างแบบพระบรมรูป โดยมีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของพระองค์จริง ส่วนแบบสะพานนั้น เป็นสะพานเหล็กยาว 229.76 เมตร กว้าง 16.68 เมตร ท้องสะพานสูงเหนือน้ำ 32.50 เมตร และอาจยกตอนกลางขึ้นด้วยแรงไฟฟ้าสูงถึง 60 เมตร เพื่อให้เรือใหญ่ผ่านได้สะดวก และพระราชทานนามสะพานแห่งนี้ว่า สะพานพระพุทธยอดฟ้า

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ทรงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีทั้งด้านอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี วิชาการสงคราม และการปกครอง ทั้งยังทรงใฝ่พระทัยศึกษาพระธรรมวินัย ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2409 และเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับบรมราชาภิเษก 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะทรงมี พระชนมพรรษาเพียง 16 ปี โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราช การแทนพระองค์ จนทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว จึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2416 เสด็จ ครองราชย์นานถึง 42 ปี สวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นนักปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ จากแบบเก่ามาสู่แบบใหม่ ทรงเป็นผู้นำในการปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบสังคม และ ระบอบการปกครองของไทยให้ทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ เช่น ทรงยกเลิกประเพณีการเฝ้าแหนแบบโบราณ มาเป็นการยืนถวายบังคมแบบตะวันตก ทรงยกเลิกการไต่สวนพิจารณาคดีแบบจารีต นครบาลมาเป็นการไต่สวนพิจารณาคดีในศาลแบบปัจจุบัน ทรงยกเลิกระบบทาสได้อย่างละมุนละม่อม ทรงจัดการศึกษาแผนใหม่ ทรงตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นทั้งในพระบรมมหาราชวังและตามวัดต่างๆ โปรดให้ ปรับปรุงการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น การประปา การรถไฟ และการไปรษณีย์-โทรเลข ทางด้านศาสนา ทรงสร้างและบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ ทรงปรับปรุงระบอบการปกครองโดย เสด็จประพาสประเทศเพื่อนบ้าน มีชวา สิงคโปร์ และอินเดีย เพื่อทรงศึกษาการปกครองแบบตะวันตกที่ นำมาประยุกต์ใช้ในประเทศตะวันออก แล้วทรงปรับปรุงการปกครองของไทยให้ทันสมัย โดยทรงแบ่ง ส่วนราชการการบริหารราชการส่วนกลางเป็น 12 กระทรวง และแบ่งส่วนราชการบริหารส่วนท้องถิ่น เป็นมณฑล พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งก็คือ ทรงดำเนินวิเทโศบายอย่างสุขุม คัมภีรภาพ ทรงผ่อนปรน ยอมสูญเสียดินแดนบางส่วนให้แก่ประเทศมหาอำนาจที่แสวงหาอาณานิคมอยู่ในขณะนั้น เพื่อรักษาเอกราชของประเทศไว้ ทรงเป็นที่รักของประชาชนทุกชั้น จนทรงได้รับพระสมัญญานามว่า “สมเด็จพระปิย มหาราช”
ทรงเลิกทาส
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชหฤทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิ คุณแก่พสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้ ทรงเห็นการณ์ไกล และตระหนักในความเจริญรุ่งเรืองและสันติสุข ของบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะเป็นผลสำเร็จได้ต้องทำให้คนไทยได้เป็นไท ไม่มีทาสอีกต่อไป พระองค์จึงได้ทรงดำเนินการเลิกทาสโดยมิให้กระทบกระเทือนถึงเจ้าของทาสและทาส ด้วยพระราช หฤทัยแน่วแน่และทรงพระราชอุตสาหะอย่างยิ่งเป็นเวลาถึง ๓๐ ปี ก็ทรงเลิกทาสสำเร็จลงตามพระราช ปณิธานที่ได้ทรงตั้งไว้
การเสด็จประพาสต้น
เหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระทัยในทุกข์สุข ของอาณาประชาราษฎร์คือ การเสด็จประพาสต้น เป็นการเสด็จไปเพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างง่ายๆ โดยไม่ให้มีท้องตราสั่งหัวเมืองจัดทำที่ประทับแรม เมื่อพอพระราชหฤทัยจะประทับที่ใดก็ประทับที่นั้น บางครั้งก็ทรงเรือเล็กหรือเสด็จโดยสารรถไฟไป โดยมิให้ใครรู้จักพระองค์ ทำให้ได้ประทับปะปนในหมู่ ราษฎร ทรงทราบทุกข์สุขของราษฎรจากปากราษฎรโดยตรง ทำให้ได้ทรงแก้ไขปัดเป่าความทุกข์ยากให้ ราษฎรของพระองค์ได้ผลโดยตรง


http://www.mahamakuta.inet.co.th/buddhism/rama/rama5.html

ยาสีฟันสมุนไพร

ยาสีฟันสมุนไพรมังกรคู่

เริ่มกิจการครั้งแรกในรูปแบบของโรงงานผลิตยาสีฟันสมุนไพรเล็กๆที่ทั้งผลิตและจัด จำหน่ายด้วยความพากเพียรจากนั้นไม่นานสินค้าของเราจึงเป็นที่รู้จักและแพร่ หลายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นที่รู้จักและไว้วางใจของลูกค้า การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดภายหลังจากที่คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆได้สำเร็จ เพื่อการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศเราจึงได้แสวงหาช่องทางในการทำตลาดไปยัง จุดสำคัญต่างๆ โดยใช้ระบบขายถึงมือผู้บริโภคโดยตรงและระบบฝากขายกับร้านค้าทั่วไปควบคู่กัน ภายหลังจากที่วางสินค้าได้ครอบคลุมเกือบทั่วประเทศแล้วเพื่อเป็นการส่งเสริม การขายเราจึงได้เริ่มใช้สื่อโฆษณาทางวิทยุและทางอินเทอร์เน็ตหลังนั้นไม่นาน ยอดขายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่เราได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค ปัจจุบันมีช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าไปสู่ผู้อุปโภคบริโภคเพิ่มมากขึ้น หลายช่องทาง โดยมีช่องทางหลักอยู่ 2 ช่องทางได้แก่

1. Wholesales ดูแลร้านค้าขายส่ง

2. ให้บริการลูกค้าร้านค้าขายปลีกทั่วประเทศ

ผลิตภัณฑ์

ยาสีฟันสมุนไพรมังกรคู่ สูตรดั้งเดิม (Original)

คงไว้ซึ่งคุณค่าสมุนไพรธรรมชาติกว่า 8 ชนิดช่วยดูแลปกป้องสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงเพิ่มประสิทธิภาพความเย็น แบบสมุนไพรไทยเพื่อรสชาติที่เย็นสดชื่นกว่าเดิมและยังมีส่วนผสมของพืช สมุนไพรธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรง คงทน ช่วยลดอาการเสียวฟัน

ยาสีฟันสมุนไพรมังกรคู่สูตรเกลือสมุนไพร (Plus Salt)

นวัตกรรมใหม่เต็มประสิทธิภาพกับรสชาติใหม่ของยาสีฟันสมุนไพรมังกรคู่สูตรเกลือ สมุนไพรมีคุณสมบัติในการดูแลสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงคงทน ช่วยลดอาการเสียวฟัน เลือดออกตามไรฟัน ลดคราบบุหรี่ หินปูน คราบน้ำชากาแฟ ระงับกลิ่นปากช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่นตลอดวัน ผลิตจากสมุนไพรธรรมชาติแท้ๆอันทรงคุณค่ากว่า 10ชนิด เต็มประสิทธิภาพในการปกป้องและลดปัญหาเหงือกและฟันได้อย่างปลอดภัยเพิ่ม เกลือบริสุทธิ์ ช่วยขจัดปัญหากลิ่นปากเสริมประสิทธิภาพ การดูแลเหงือกให้กระชับและฟันแข็งแรงคงทน เมนทอล ผสมผสานความหอมสดชื่นของเมนทอลและสมุนไพรแท้ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นช่วยเสริม สุขภาพเหงือกและฟันให้สุขภาพดีสะอาดแข็งแรงปราศจากปัญหาเรื่องกลิ่นปากให้ คุณมั่นใจได้ตลอดวัน


คุณสมบัติเมื่อเทียบกับยาสีฟันทั่วไป

1.ป้องกันอาการปวดฟัน เสียวฟัน เหงือกอักเสบ เข็ดฟันเลือดออกตามไรฟัน ระงับกลิ่นปากตลอดวันยาวนาน ทั้งก่อนนอนและหลังตื่นนอนตอนเช้า

2.เข้มข้นกว่าใช้เพียง 1 ใน10 ของแปรง เข้มข้นกว่ายาสีฟันทั่วไปถึง 10 เท่า




สมุนไพรกับสุขภาพของช่องปาก

ปากและฟันเป็นอวัยวะที่สำคัญในการนำอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย การเกิดโรคขึ้นกับช่องปากและฟันจึงนับว่าเป็นปัญหาสำคัญ ต่อการเจริญเติบโตของมนุษย์เป็นอย่างยิ่งด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่มี มาแต่โบราณ ซึ่งรู้จักการแก้และป้องกันโรคที่เกิดกับปากและฟัน โดยนำสรรพคุณทางยาของสมุนไพรพื้นบ้านมาใช้ประโยชน์ และเขียนเป็นตำราไว้มากมาย สูตรยาสีฟันสมุนไพรโบราณนั้นส่วนใหญ่จะประกอบด้วย เกลือ สารส้มสะตุ การบูร กานพลู และพิมเสน เป็นหลัก โดยนำมาบดให้ละเอียด ปิดฝาให้มิดชิด นอกจากนี้ยังมีการเติมสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีสรรพคุณทางยาผสมเข้าไปด้วย เพื่อช่วยให้มีประสิทธิภาพในการรักษาช่องปากมากขึ้น ซึ่งสรรพคุณของสมุนไพรที่ปรากฎตามตำราโบราณนั้นเมื่อนำมาศึกษาโดยวิธีทาง วิทยาศาสตร์ พบว่ามีสรรพคุณที่ค่อนข้างตรงกับที่โบราณระบุไว้เกือบทุกประการ เช่น

•เกลือรักษาแผลในปาก
•สารส้มสะตุช่วยแก้อาการเหงือกอักเสบและบวมและช่วยดับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดี
•กานพลูช่วยรักษาอาการเหงือกเป็นหนอง และเลือดออกตามไรฟัน
•การบูรและพิมเสนทำให้ปากหอมสดชื่น

ส่วนประกอบของยาสีฟันสมุนไพรและสรรพคุณ

กานพลู

เป็นไม้ต้น สูง 9-12 เมตร อาจสูงได้ถึง 20 เมตร เรือนยอดเป็นรูปกรวยคว่ำ แตกกิ่งต่ำ ลำต้นตั้งตรง เปลือกเรียบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก รูปรี หรือรูปไข่กลับแคบๆ กว้าง 8-11 ซม.ยาว 32-37 ซม.ปลายแหลมหรือเรียวแหลม โคนสอบแคบ ขอบเรียบแผ่นใบด้านบนเป็นมัน มีต่อมน้ำมันมาก เส้นแขนงใบข้างละ 15-20 เส้นปลายเส้นโค้งจรดกับเส้นถัดไปก่อนถึงขอบใบ ก้านใบยาว 1-2.5 ซม.ช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่น ออกที่ปลายยอด ก้านช่อดอกสั้นมากแต่อาจยาวได้ถึง 1 ซม.ใบประดับรูปสามเหลี่ยม ยาว 2-3 มม.กลีบเลี้ยง 4 กลีบ โคนติดกันเป็นหลอดยาว 5-7 มม.เมื่อเป็นผลขยายออกเป็นรูปกรวยยาวประมาณ 1 ซม.ปลายแยกเป็นแฉกรูปไข่ ยาว 3-4 มม.กลีบดอก 4 กลีบ รูปขอบขนานหรือกลม ยาว 7-8 มม.มีต่อมมน้ำมันมาก ร่วงง่าย เกสร เพศผู้จำนวนมาก ร่วงง่าย ก้านชูอับเรณูยาวประมาณ 7มม.ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 4 มม.ผล รูปไข่กลับกามรูปรี ยาว 2-2.5 ซม.แก่จัดสีแดงมี 1 เมล็ดกานพลูเป็นพรรณไม้พื้นเมืองของหมู่เกาะโมลุกกะนำไปปลูกในเขตร้อนทั่ว โลกในประเทศไทยนำมาปลูกบ้างแต่ไม่แพร่หลายชอบขึ้นในดินร่วนซุยการระบายน้ำดี ความชื้นสูง ฝนตกชุกขึ้นได้ดีบนพื้นที่ราบถึงที่สูงจากระดับน้ำทะเล 800-900เมตร ส่วนที่ใช้:เปลือกต้น ใบ ดอกตูม ผล น้ำมันหอมระเหยกานพลู

สรรพคุณ: เปลือกต้น – แก้ปวดท้อง แก้ลม คุมธาตุ ,ใบ – แก้ปวดมวน, ดอก ตูม – รับประทานขับลม ใช้แต่งกลิ่น ดอกกานพลูแห้ง ที่ยังไม่ได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นหอมจัด มีน้ำมันหอมระเหยมาก รสเผ็ด ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้องและแน่นจุกเสียด แก้อุจจาระพิการ แก้โรคเหน็บชา แก้หืด แก้ไอ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เลือดเสีย ขับน้ำคาวปลา แก้ลม แก้ธาตุพิการ บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้เสมหะเหนียว ขับผายลม ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสียในเด็กแก้ปากเหม็น แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้รำมะนาด ดับกลิ่นเหล้า แก้ปวดฟัน ผล- ใช้เป็นเครื่องเทศ เป็นตัวช่วยให้มีกลิ่นหอมน้ำมันหอมระเหยกานพลู – ใช้เป็นยาชาเฉพาะแห่ง แก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อทางทันตกรรม เป็นยาระงับการชักกระตุก ทำให้ผิวหนังชา

ยาแก้ปวดฟัน: ใช้ น้ำมันจากการกลั่นดอกตูมของดอกกานพลู 4-5 หยดใช้สำลีพันปลายไม้จุ่มน้ำมันจิ้มในรูฟันที่ปวดจะทำให้อาการปวดทุเลาและ ใช้แก้โรครำมะนาดก็ได้หรือใช้ทั้งดอกเคี้ยวแล้วอมไว้ตรงบริเวณที่ปวดฟัน เพื่อระงับอาการปวดหรือใช้ดอกกานพลูตำพอแหลกผสมกับเหล้าขาวเพียงเล็กน้อยพอ แฉะใช้จิ้มหรืออุดฟันที่ปวด ระงับกลิ่นปากใช้ดอกตูม 2-3 ดอกอมไว้ในปากจะระงับกลิ่นปากได้

พิมเสน

เป็นพืชขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง ใบเดี่ยว ออกตรงข้าม ใบรูปไข่ ขอบใบจักเป็นซี่งมีขนหนาแน่น ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและที่ยอด ผลแข็ง รูปรี ขนาดเล็ก บางถิ่นเรียกว่าผักชีช้าง ภาคใต้เรียกว่าใบหลมหรือใบอีหรม เนื่องจากภาษาอังกฤษเรียกว่า patchouli น้ำมัน พิมเสนได้จากการกลั่นกิ่งและใบต้นพิมเสนจึงมีชื่อเรียกว่าน้ำมันแพทชูลี นิยมใช้ปรุงเป็นน้ำหอม แต่งกลิ่นสบู่ ใช้ผสมน้ำอาบเพื่อระงับกลิ่นตัว โบราณใช้แต่งกลิ่นขี้ผึ้งสีปาก ในทางยาใช้ทาแก้ปวด ต้นพิมเสนเป็นส่วนผสมหนึ่งในตำรับยาหอม ตำรับยาแก้ไข้ ใบสดต้มน้ำดื่มแก้ปวดประจำเดือน ยาชงจากยอดแห้งและรากดื่มเป็นยาขับปัสสาวะและขับลม ผงใบใช้เป็นยานัตถุ์และเป็นยาทำให้จาม กิ่งและใบแห้งใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าทำให้มีกลิ่นหอมและช่วยป้องกันแมลงกัดเสื้อผ้า

พิมเสนบริสุทธิ์จะเป็นรูปหกเหลี่ยม ละลายในปิโตรเลียม อีเทอร์, เบนซิน ตามตำราประมวลหลักเภสัชฯ ท่านจัดพิมเสนเป็นธาตุวัตถุ ได้จากการนำการบูรมาหุงกับยาอื่นๆ ได้เป็นเกร็ดแบนๆสีขาว ถ้าเป็นของแท้จากธรรมชาติจะไม่กัดลิ้นแต่จะทำให้เย็นปากคอสมัยก่อนใส่ในหมาก พลู แพทย์แผนโบราณใช้พิมเสนเป็นยาขับเหงื่อขับเสมหะ กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นสมอง บำรุงหัวใจ ใช้เป็นยาระงับความกระวนกระวายทำให้ง่วงซึม ถ้าใช้เกินขนาดอาจทำให้อาเจียนการอบสมุนไพรมีพิมเสนเป็นส่วนประกอบในตัวยา พิมเสนซึ่งระเหิดเมื่อถูกความร้อน มีกลิ่น หอม ใช้แต่งกลิ่น บำรุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ผสมในลูกประคบ เพื่อช่วยแต่งกลิ่น มีฤทธิ์แก้พุพอง แก้หวัด

การบูร

เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 10-15 ม.อาจสูงได้ถึง 30 ม.ลำต้นและกิ่งเรียบทุกส่วนมีกลิ่นหอมการบูร (camphor)ใบ เดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ รูปไข่กว้าง หรือรูปรี ปลายเรียวแหลมโคนสอบ ขอบเรียบ ด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีนวล มีต่อม 2 ต่อม ที่ง่ามใบคู่ล่าง ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามง่ามใบ ดอกเล็กสีเหลืองอ่อน กลีบรวม 6 กลีบ โคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ผลค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.2 ซม. สีเขียวเข้มเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่มี 1 เมล็ด

ประโยชน์: เมื่อนำส่วนต่างๆ ของการบูรมากลั่นจะได้น้ำมันระเหยง่าย ซึ่งประกอบด้วยสารต่างๆ เช่น camphor, safrol, cineole, camphene, phellandrene และ limonene สำหรับ camphor จะเป็นผลึกแยกออกมาเรียกว่าการบูร ใช้เป็นยาระงับเชื้ออย่างอ่อน ยากระตุ้นหัวใจ ขับลม ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ แก้ปวด ทำยาทาถูนวดแก้ปวดตามข้อ





ประวัติยาสีฟัน

ยาสีฟันถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอียิปต์โบราณโดยยาสีฟันในสมัยนั้นทำจาก วัตถุดิบธรรมชาติได้แก่ เกลือป่น พริกไทยป่น ใบมินต์ และดอกไอริช ในสมัยโรมันมีการคิดสูตรยาสีฟันขึ้นมาใหม่ทำจากปัสสาวะของมนุษย์ โดยชาวโรมันเชื่อว่าแอมโมเนียที่อยู่ในปัสสาวะจะช่วยให้ฟันขาวสะอาดขึ้น ต่อ มาช่วงราวศตวรรษที่ 18 ยาสีฟันสูตรอเมริกันที่ใช้ขนมปังเผาเป็นวัตถุดิบก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นอกจากนั้นยังมีการคิดค้นสูตรยาสีฟันที่ทำจากส่วนผสมของยางต้นไม้ อบเชย และ สารส้มเผาแต่การใช้ยาสีฟันยังไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย กระทั่งในช่วงศตวรรษที่ 19 ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บริษัทแห่งหนึ่งได้คิดค้นยาสีฟันแบบครีมอยู่ในหลอดบีบออกจำหน่าย ถือเป็นเจ้าแรกที่คิดค้นสูตรยาสีฟันแบบครีมที่ยังคงมีใช้จนถึงปัจจุบัน สำหรับ การทำความสะอาดฟันของคนไทยเริ่มจากใช้เปลือกข่อยขัดฟัน ใช้มือถูหรือใช้ผ้าขัด และผู้สูงอายุในชนบทที่เคี้ยวหมากจะใช้เปลือกหมากนั้นขัดฟันไปด้วย

ยาสีฟันใช้คู่กับแปรงสีฟันในการทำความสะอาดฟันและเหงือกทำให้เรารู้สึกสดชื่น หลังจากแปรงฟันจากพระราชบัญญัติเครื่องสำอางพศ.2535 ที่กำหนดไว้ว่า”เครื่องสำอางคือวัตถุที่มุ่งหมายสำหรับใช้ทาถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ หรือกระทำด้วยวิธีอื่นใด ต่อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเพื่อความสะอาด ความสวยงามหรือส่งเสริมให้เกิดความสวยงาม และรวมตลอดทั้งเครื่องประทินผิวต่างๆด้วย แต่ ไม่รวมถึงเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัวซึ่งเป็นอุปกรณ์ภายนอกร่างกาย” ยาสีฟันจึงจัดเป็นเครื่องสำอางชนิดหนึ่งที่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัยต้องใช้กันเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง โดยปกติหลายคนคงเคยสงสัยว่ายาสีฟันนี้ทำจากอะไร ช่วยให้ฟันและเหงือกสะอาดได้อย่างไร นอก จากนี้ในปัจจุบันมียาสีฟันจำนวนมากวางขายตามท้องตลาด ทำให้อาจมีคำถามตามมาอีกว่าจะเลือกใช้ยาสีฟันยี่ห้อไหนดีก่อนที่จะตอบคำถาม ข้อหลังได้คงต้องตอบคำถามข้อแรกก่อนว่ายาสีฟัน ทำจากอะไรบ้าง การทราบถึงส่วนประกอบต่างๆ ของยาสีฟันจะช่วยให้สามารถเข้าใจสมบัติของสารนั้นๆ และเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม


ส่วนประกอบในยาสีฟันแบ่งออกได้เป็นสาร 8 กลุ่มใหญ่ดังนี้

1.สารขัดสีทำหน้าที่ขจัดคราบอาหารหรือคราบจุลินทรีย์ที่เรียกว่าพลัคซึ่งเกาะอยู่ บนตัวฟันตัวอย่างสารในกลุ่มนี้ได้แก่แคลเซียมคาร์บอเนต ไดแคลเซียมฟอสเฟตไดไฮเดรท (DCPD)ไตรแคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมดรอกไซด์ โซเดียมเมตาฟอสเฟต ที่ไม่ละลายน้ำ อะลูมิเนียมออกไซด์ไฮเดรท และซิลิกอนไดออกไซด์

2.สารที่ทำให้เกิดฟองได้แก่ โซเดียมลอริลซัลเฟต โซเดียมริโคโนลิเอต โซเดียมซัลโฟริซิโนลิเตต

3.สารให้ความชุ่มชื้น ทำให้ยาสีฟันไม่แห้งแข็ง ได้แก่ ซอร์บิทอล ซอร์บิแทนโมโนโอลีเอต

4.สารเพิ่มเนื้อให้ความหนืดได้แก่ คาร์บอกซิเมททิล เซลลูโลส หรือที่เรียกย่อๆว่า ซีเอ็มซี

5.สารแต่งกลิ่นรสทำให้รู้สึกเย็นซ่าเวลาแปรงฟันช่วยให้รู้สึกสบายไม่คลื่นไส้ กลิ่นและรสจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสาร สารในกลุ่มนี้ได้แก่ กลิ่นส้ม ลีโมนีน กลิ่นผลไม้รวม เอทิลโพรพิโนเอต เมนทอล ยูคาลิปตัส และน้ำมันจากใบพืชตระกูลสาระแหน่เช่น สเปียร์มินต์ออย เปปเปอร์มินต์ออย

6.สารกันบูดได้แก่ โซเดียมเบนโซเอต เอทิลพาราเบนและเมทิลพาราเบน


7.สารที่มีสมบัติเป็นยารักษาฟันและเหงือก ช่วยป้องกันหรือลดการเกิดโรคในช่องปาก แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

•สารป้องกันฟันผุได้แก่สารประกอบฟลูออไรด์เช่น โซเดียมฟลูออไรด์ สแตนนัสฟลูออไรด์ และโซเดียมโมโนฟลูออโรฟอสเฟต สารยับยั้งการทำงานของเอนไซม์เฮกโซคิเนส ในปฏิกิริยาไกลโคลไลซิส เช่น โซเดียม เอ็นลอโรอิลซารโคซิเนต สารยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียเช่น เฮกซะคลอโรฟีน เบนเซโธเนียมคลอไรด์ สารลดเชื้อช่วยต่อต้านการเติบโตของจุลินทรีย์ได้แก่ คลอรีนไดออกไซด์ ไธมอลไตรโคซานและพีวีเอ็ม/เอ็มเอโคโพลีเมอร์หรือไตรโคลซานและซิงค์ซิเตรต
•สารควบคุมหินน้ำลายบนแผ่นคราบจุลินทรีย์ที่อยู่บนผิวฟัน สารกลุ่มนี้ที่พบได้แก่ ไพโรฟอสเฟต และซิงค์ซิเทรท
•สารลดการเสียวฟัน การเสียวฟันมักจะเกิดเมื่อมีการกระตุ้นเช่น จากของเย็น ของหวาน ของเปรี้ยวและการโดนลม สารกลุ่มนี้ได้แก่ สตรอนเชียมคลอไรด์และโพแทสเซียมไนเตรท

8.สมุนไพรมีทั้งสมุนไพรไทยและสมุนไพรต่างประเทศสมุนไพรเหล่านี้มีสมบัติต่างกันออกไป ตัวอย่างสมุนไพรไทย ได้แก่กิ่งข่อย มีสารแทนนินซึ่งมีฤทธิ์ในการระงับเชื้อและช่วยเคลือบฟันได้กานพลู ส่วนที่นำมาใช้มักจะเป็นดอกซึ่งมีน้ำมันมีฤทธิ์ในการระงับเชื้ออย่างอ่อน นอกจากนี้ก็มีเกลือแกง ลิ้นทะเลใช้เป็นผงขัดฟัน ผงฟูหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆช่วยปรับความเป็นกรดในช่องปากซึ่งมาจากอาหารที่รส เปรี้ยว พิมเสน การบูร ชะเอมเทศใช้ในการปรุงแต่งรสชาติ ส่วนสมุนไพรต่างประเทศได้แก่ คาโมไมล์ ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ มิ้นท์ เสจ เอคชินาเซีย ทีทรีออยส์เป็นสมุนไพรที่นำมาผสมในยาสีฟันเพื่อช่วยในการรักษาโรคเหงือก ในประเทศออสเตรเลียนอกจากสมุนไพรแล้วยังมีการนำพรอพ์โพลิสสารที่มาจากรัง ผึ้งมีฤทธิ์ในการระงับเชื้อผสมในยาสีฟันด้วย จากการสำรวจยาสีฟันที่ขายในท้องตลาดสังเกตได้ว่าสามารถแบ่งยาสีฟันตามส่วน ประกอบออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ทั้งสองกลุ่มนี้จะประกอบด้วยสารกลุ่มที่ 1-6 ซึ่งเป็นสารขัดสีสารทำความสะอาด สารให้ความชุ่มชื้น สารเพิ่มเนื้อให้ความหนืด สารแต่งกลิ่นรสและสารกันบูด ส่วนสารกลุ่มที่มีคุณสมบัติในการรักษาฟันและเหงือกจะต่างกันคือเป็นสารเคมี ที่ผลิตขึ้นอันได้แก่สารกลุ่มที่ 7 และเป็นสารสกัดจากสมุนไพรอันได้แก่สารกลุ่มที่ 8 อาจมีบ้างแต่เป็นส่วนน้อยที่เป็นยาสีฟันที่ประกอบด้วยสาร ทั้ง 8กลุ่ม การเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันเหงือกและ ช่องปากอาจมีหลักการง่ายๆคือเลือกยาสีฟันที่มีรสและกลิ่นที่ชอบแล้วทดลองใช้ ถ้าใช้แล้วฟันสะอาดกำจัดคราบอาหารและคราบจุลินทรีย์ได้และไม่มีอาการแพ้ของ เยื่อในช่องปากริมฝีปากลอกเป็นขุยหรือทำให้เหงือกเป็นแผล ก็ แสดงว่าเราได้ยาสีฟันที่ดีเหมาะกับฟันของเราแล้ว สำหรับบุคคลที่มีปัญหาเกี่ยวกับฟันเหงือกและช่องปากนั้นต้องพิถีพิถันเกี่ยว กับการเลือกใช้ยาสีฟันโดยมุ่งเน้นไปที่การพิจารณาสารที่มีคุณสมบัติในการรักษาเหงือกและฟัน

http://mangkornkoo.blog.com/