วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำความดีถวายในหลวง

80 วิธีทำดีถวาย “ในหลวง” ต้อนรับปีมหามงคล 2550

เนื่องในโอกาสปีใหม่ 2550 อีกทั้งเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายหน่วยงานต่างรณรงค์ให้คนไทยรวมพลังกันทำความดีถวายในหลวง เช่นเดียวกับกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้นำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างน่าสนใจมาก เป็น 80 วิธีทำดีต่อตนเอง ต่อสังคมรอบข้าง ตลอดจนประเทศชาติ เพื่อให้ทุกคนได้ลองเลือกไปปฏิบัติตามความถนัดและความชอบ นำมาซึ่งความสุขและความสมานฉันท์ของชาติ และเพื่อถวายแด่ "ในหลวง" ที่รักยิ่งของเรา

เริ่มจาก ทำดีต่อตนเอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น ได้แก่

1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่
2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน
3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง
4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใครอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน
5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง
6. อ่านหนังสือดีๆ อย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต
7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ
8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด
9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม
10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใดก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง

ทำดีต่อครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีผลต่อความสุขของสมาชิกทุกคน ได้แก่

11. ลดการบ่นว่า ดุด่าคนในครอบครัวให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี-ภริยา พี่น้อง เพื่อลดความเครียดในบ้าน และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าบ้านน่าอยู่ไม่ร้อนหูร้อนใจ
12. พาสมาชิกในครอบครัวไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยวบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
13. ช่วยกันลดรายจ่ายด้วยการไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เพื่อมิให้เป็นหนี้สินหรือเงินไม่พอใช้
14. ไม่คิดจะมีกิ๊กหรือเป็นชู้กับสามี-ภริยาผู้อื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเราและผู้อื่นเกิดความแตกแยก
15. พูดจาไพเราะ สุภาพกับสมาชิกในบ้าน ไม่ตะคอกด่าทอหรือจิกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคาย
16. มีสัมมาคารวะและแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในบ้าน ทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือพี่ป้าน้าอา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน
17. มีน้ำใจกับคนในบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ล้างถ้วยชาม ช่วยภริยากวาดถูบ้าน ช่วยพาพ่อแม่ของสามีหรือภริยาไปหาหมอ ซื้อของใช้ให้สามี-ภริยา
18. ไม่เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในบ้าน เช่น ฟังสามีภริยา ฟังลูกว่าต้องการอะไรบ้าง เพื่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน
19. พูดจาชมเชยและให้กำลังใจแก่สมาชิกในบ้าน เช่น ชมว่าแต่งตัวดี ทำกับข้าวอร่อย วาดภาพสวย เป็นต้น
20. พาครอบครัวไปทำบุญสร้างกุศลร่วมกันในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันวิสาขบูชา ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกได้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้เห็นแบบอย่างการทำดีอย่างเป็นรูปธรรม

ประการต่อมา ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากปลูกไมตรีต่อกันได้ ย่อมจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้นจึงควรทำดีต่อกันดังนี้

21. ยิ้มและทักทายเมื่อพบกัน
22. ช่วยดูแลสอดส่องบ้านให้เมื่อเพื่อนบ้านไม่อยู่ หรือไปต่างจังหวัด หรือช่วยแจ้งเหตุหากมีสิ่งใดผิดปกติ
23. ซื้อของขวัญหรือของฝากไปให้บ้างตามโอกาส เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน หรือเมื่อกลับจากต่างถิ่น เพื่อเป็นการผูกมิตรหรือขอบคุณเขาที่ช่วยดูบ้านให้
24. ไม่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่เพื่อนบ้าน หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะกัน เช่น สัตว์ส่งเสียงดังรบกวน หรือใบไม้ร่วงไปรกบ้านเขา
25. ไม่จอดรถขวางทางเข้าบ้านของเขา หรือในที่ที่เขาจอดประจำ
26. ไม่พาสัตว์เลี้ยง เช่น หมา แมว ไปอึหรือฉี่หน้าบ้าน ต้นไม้ของเขา
27. ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือคาราโอเกะเสียงดังจนรบกวนเขา โดยเฉพาะในวันหยุด
28.ไม่ซ้อมดนตรี จัดงานหรือส่งเสียงเอะอะ โวยวายรบกวนเพื่อนบ้าน ควรจะจัดเวลาซ้อมที่ไม่เช้าหรือดึกเกินไป หรือไม่ก็ควรจะไปซ้อมที่อื่น และไม่ควรพาเพื่อนมาตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านเขาทุกอาทิตย์
29. ไม่กวาดขยะไปกองหรือทำสกปรกหน้าบ้านผู้อื่น ควรกวาดและเก็บใส่ถุงหรือถังขยะให้เรียบร้อย
30. ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของเราเองบ้างตามโอกาสอันควร

ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานของเราราบรื่น เกิดความสามัคคี และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของเราด้วย ได้แก่

31. ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักโอภาปราศรัยต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ทำเมินหรือทำหน้าเมินเฉยไร้ชีวิตเมื่อเจอกัน
32. ช่วยแนะหรือสอนงานที่เรามีความชำนาญให้
33. แสดงความยินดีหรือชมเชยเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือได้รับรางวัล
34. ซื้อของขวัญ ให้เงิน หรือการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน คลอดลูก
35. แสดงความเสียใจหรือปลอบใจเมื่อเขาประสบเหตุหรือโชคร้าย เช่น พ่อแม่ตาย ถูกขโมยขึ้นบ้าน
36. ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือชี้แนะเมื่อเขาทำผิดพลาดด้วยความจริงใจ ไม่ซ้ำเติม
37. ไม่ขโมยผลงานของเขามาเสนอเป็นผลงานของเรา
38. ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยุยงให้เพื่อนร่วมงานแตกคอ หรือทะเลาะวิวาทกัน
39. แนะนำหนังสือ ร้านอาหาร วัด หรือสถานที่ดีๆ แก่เพื่อนให้เขาได้ไปใช้บริการบ้าง
40. รู้จักอยู่ช่วยงานหรือร่วมกิจกรรมที่เพื่อนในหน่วยงานจัดขึ้น แม้จะมิใช่งานของเรา เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนม และทำงานเข้าขากันได้มากขึ้น

ดีต่อหน่วยงานหรือที่ทำงานของตน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพทำให้เรามีกินมีใช้ เราจึงควรต้องกตัญญูรู้คุณ ด้วยการ

41. ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงาน ไม่โกงเวลา โกงทรัพย์สินของหน่วยงาน
42. ไม่นินทาว่าร้าย หรือดูถูกหน่วยงานของเราเอง หากเราคิดว่าไม่ดีก็ควรออกไปหางานอื่นทำ
43. ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
44. เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ดีในหน่วยงานต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข ไม่ใช่ซ้ำเติมหรือเมินเฉย
45. ให้บริการหรือพูดจากับผู้มาติดต่อกับหน่วยงานให้สุภาพ ไพเราะ เพื่อให้เกิดความประทับใจที่ดี
46. ใช้ทรัพยากรต่างๆ ของหน่วยงานอย่างประหยัด คุ้มค่าให้เหมือนสมบัติของเราเอง
47. ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ทำลายระเบียบที่ดีจนหน่วยงานเละเทะยุ่งเหยิง เพราะต่างทำตามใจตนเองจนควบคุมไม่ได้
48. รู้จักเสียสละเพื่อหน่วยงานบ้างบางโอกาส เช่น ทำงานโดยไม่เอาโอที หรือร่วมลงขันจัดกิจกรรมให้หน่วยงาน
49. ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้หน่วยงาน เช่น แข่งกีฬาชนะเลิศ จัดทำโครงการดีๆ เพื่อสังคม
50. ต้องมีความภาคภูมิใจในหน่วยงานของตน

วิธีทำความดีถวายพ่อหลวงอีกอย่างหนึ่งก็คือ ดีต่อสังคม ซึ่งมีเราเป็นหน่วยหนึ่ง ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะจะเต็มไปด้วยความเอื้ออาทรและความมีไมตรีจิตต่อกัน ด้วยการ

51. ส่งของกิน ของใช้ หรือเงินไปบริจาคมูลนิธิต่างๆ เมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่นๆ ของตน
52. ทำหนังสือชมเชยไปยังบุคคลหรือหน่วยงานที่ให้บริการที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น เช่น เขียนไปชมกระเป๋ารถเมล์ที่พูดจาดี ช่วยพยุงคนแก่ขึ้นรถ
53. ช่วยกันรักษาความสะอาดและถนอมใช้สมบัติสาธารณะให้มีอายุยืนนาน เช่น ไม่ขีดเขียนในห้องน้ำสาธารณะ ไม่ทิ้งขยะ-ถ่มน้ำลายบนถนนหนทางหรือในแม่น้ำลำคลอง
54. ช่วยกดลิฟต์ให้กับผู้ร่วมทาง หรือช่วยถือของหนักให้กับคนบนรถเมล์
55. ไม่แซงคิวใดๆ ที่เขากำลังเข้าแถวรอรับบริการ เช่น ซื้อตั๋วหนังหรือเข้าส้วม
56. นำหนังสือดีๆ หรือหนังสือธรรมะ ไปบริจาคตามโรงพยาบาลรัฐ เช่น ห้องรอรับการรักษา ห้องพักผู้ป่วย ห้องพยาบาล เป็นต้น เพื่อเป็นการแนะวิธีปฏิบัติตน และช่วยปลุกปลอบใจ
57. ขับรถตามกฎจราจร มีน้ำใจให้กับรถคันอื่น ไม่แซงซ้ายป่ายขวา และจอดรถให้คนข้ามถนนบ้าง
58. อ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือดีๆ ใส่เทป ซีดี ส่งไปให้คนตาบอดฟัง
59. รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ
60. ให้ความช่วยเหลือ-แนะนำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยทำ เช่น แนะวิธีคาดเข็มขัดบนเครื่องบิน แนะวิธีใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนส

ดีต่อศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจึงควรสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปยังลูกหลานของเราด้วยการ

61. ศึกษาหลักธรรมในศาสนาของเราให้รู้จริง
62. ปฏิบัติตามธรรมะที่ศาสดาสอนไว้
63. ช่วยเหลือแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
64. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก
65. ทำบุญตามหลักศาสนาของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง
66. สั่งสอนและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง
67. ไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น
68. ไม่ใช้ศาสนาไปหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อในทางที่ผิด
69. หากเป็นพระ นักบวช ต้องทำตนเป็นแบบอย่าง และแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรแก่ศาสนิกชน
70. เชื่อมั่นและตั้งใจที่จะช่วยสืบทอดศาสนาทุกวิถีทางที่ดีและถูกต้อง

คงไม่มีใครในบ้านเมืองอยากเห็นชาติต้องอยู่ในภาวะวิกฤติ การทำดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดหรือให้เราได้อยู่อาศัยเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจึงควรตอบแทนด้วยการ

71. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งใด
72. ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง และไม่คิดคอรัปชั่นหรือคดโกงด้วยวิธีการใดๆ
73. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตน
74. ช่วยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส
75. ไม่เมินเฉยหรือละเลยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยผลประโยชน์จากชาติบ้านเมืองของเรา
76. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี
77. สอนลูกหลานให้รักและภาคภูมิใจในชาติของเรา
78. ตั้งใจศึกษาหาความรู้และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่
79. มีความรักความสามัคคีต่อกันในทุกระดับ
80. ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของประเทศ

สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างการ "ทำความดี" อันหลากหลายที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยไม่ต้องรอ แม้บางวิธีเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่าลืมว่าหากเราทุกคนตั้งใจทำความดีเพียงเล็กน้อย ก็สามารถรวมเป็น "พลังอันยิ่งใหญ่" ที่ทำให้ทุกคนเป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลทำให้ชาติบ้านเมืองสงบร่มเย็นได้ และน่าจะเป็นสิ่งที่ "ในหลวง" ของเรา คงทรงยินดีที่ราษฎรของพระองค์สร้างความดีแก่ตัวและผู้อื่นมากกว่าการสร้างถาวรวัตถุใดๆ ถวายพระองค์ท่านอย่างแน่นอน


http://hilight.kapook.com/view/5890

อาหารที่มีประโยชน์

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก
• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน
• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล
• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา
(โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)
• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย
• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย
• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง • ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา
• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก
• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด
• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร
• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง
• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว
• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย
• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ
• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น
• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า
• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น



http://www.yourhealthyguide.com/article/an-unpolished-rice.htm

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กิจกรรมยามว่าง

นันทนาการ (อังกฤษ: Recreation) คือ กิจกรรมที่สมัครใจทำในยามว่าง เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ผ่อนคลายความตึงเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ นันทนาการ การเล่น และความสนุกสนาน ไม่สงวนไว้แต่มนุษย์ แต่พบได้ในสัตว์เกือบทุกชนิด การเล่นช่วยพัฒนาทักษะต่าง ๆ โดยเฉพาะทักษะการเคลื่อนไหวในสิ่งมีชีวิตวัยเยาว์

สำหรับมนุษย์ กิจกรรมนันทนาการมักเกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ และวันหยุด ประกอบด้วย ดนตรี การเต้นรำ กีฬา งานอดิเรก เกม และการท่องเที่ยว การดูโทรทัศน์ และฟังเพลง เป็นรูปแบบสามัญของนันทนาการ

ความเป็นเอกลักษณ์ของนันทนาการคือ

1.ไม่เป็นงานอาชีพ
2.ไม่เป็นอบายมุข
3.ไม่มีผลตอบแทน
4.ไม่มีใครบังคับให้ร่วมกิจกรรม
[แก้] ตัวอย่างกิจกรรมนันทนาการ
การเต้นรำ
การรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม
การล่าสัตว์และการตกปลา
การท่องเที่ยว
เล่นอินเทอร์เน็ต
อ่านหนังสือ
เขียนนิยาย หรือ เรื่องสั้น (ในกรณีที่เขียนโดยไม่ได้ตั้งใจจะนำไปจัดพิมพ์)
การเล่นกีฬาและออกกำลังกาย
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว
การเล่นวิดีโอเกม
ไปสวนสนุก
เล่นว่าว
เดินเล่น
ปั่นจักรยาน ฯลฯ
นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมีรูปแบบกิจกรรมนันทนาการ ที่ก่อให้เกิดความตื่นเต้นมากขึ้น อาทิ:

สกี
สโนว์บอร์ด
บันจี้จัมพ์
การเล่นเพนต์บอล
การเล่นบีบีกัน
การปีนหน้าผา
สกี,
สโนว์บอร์ด,
บันจี้จัมพ์,
การเล่นเพนต์บอล,
การเล่นบีบีกัน,
การปีนหน้าผา,
การท่องเที่ยวผจญภัย,
วิ่งฟรีรันนิ่ง ฯลฯ

อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน; เงื่อนไขอื่นอาจใช้ประกอบด้วย โปรดศึกษาเงื่อนไขการใช้งาน
Wikipedia® เป็นเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของมูลนิธิวิกิมีเดีย

การฝึกสมาธิ

เคล็ดลับการฝึกสมาธิ
สมาธินับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อทุกคน คือ ถ้าเด็กมีสมาธิก็จะเรียนเก่ง มีความจำดีและคิดเก่ง ถ้าคนทำงานมีสมาธิก็จะทำให้ทำการงานได้ดี หรือแม้ นักวิปัสสนาถ้ามีสมาธิก็จะทำให้เกิดปัญญาขั้นเห็นแจ้งและดับทุกข์ได้
แต่ปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ที่ฝึกสมาธิไม่สามารถฝึกจิตให้เกิดสมาธิได้นั้นก็คือ “ความไม่เข้าใจว่าสมาธิคืออะไรและจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?” ถ้าผู้ฝึกสมาธิจะเข้าใจว่าสมาธิคืออะไร และจะเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว การฝึกสมาธิของเขาก็จะง่ายและเกิดขึ้นเร็วได้อีกด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่รู้ว่าสมาธินั้นแท้จริงเป็นอย่างไรและเคล็ดลับในการฝึกเป็นอย่างไรแล้ว การฝึกสมาธิก็ยากที่จะประสบผลสำเร็จได้ ดังนั้นเราจะมาเรียนรู้เคล็ดลับในการฝึกสมาธิกันต่อไป
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจคำว่า “สมาธิ”ก่อน คำว่า สมาธิ แปลว่า ตั้งมั่นอยู่เสมอ คือหมายถึง อาการที่จิตเพ่ง (หรือจดจ่อ หรือกำหนด หรือจับติด)อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลาได้นานๆอย่างต่อเนื่อง จนจิตเกิดความสงบ, ตั้งมั่น, ปลอดโปร่งแจ่มใส, อ่อนโยน, และเกิดความสุขที่สงบ หรือความเบาสบาย ไม่มีความทุกข์ใดๆขึ้นมา
เรามักเข้าใจกันว่าเมื่อจิตมีสมาธิแล้วจิตจะสงบนิ่งหรือตั้งมั่นโดยไม่มีความคิดใดๆเลยหรือไม่รับรู้สิ่งภายนอกเลย ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะนั่นเป็นสมาธิที่สูงเกินความจำเป็น(คือใช้งานอะไรไม่ได้)และฝึกได้ยาก ดังนั้นเราจึงไม่ควรสนใจ ซึ่งสมาธิที่เป็นประโยชน์นั้นจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง คือเป็นการตั้งใจคิด หรือพูด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่น ในการกำหนดรู้ถึงหายใจของร่างกาย หรือเพ่งอยู่ในการคิด ในการอ่าน การเขียน การฟัง การพูด หรือในการทำการงานที่ดีงามทั้งหลายเป็นต้น
สมาธิที่ถูกต้องจะมีลักษณะ ๓ อย่างให้สังเกตได้ คือ
๑. บริสุทธิ์ คือไม่มีกิเลส(ยินดี ยินร้าย ลังเลใจ) ไม่มีนิวรณ์(ความคิดฟุ้งซ่านต่างๆหรือความหดหู่ เซื่องซึม เป็นต้นที่จัดเป็นพวกกิเลสอ่อนๆ)
๒. ตั้งมั่น คือจิตจะสงบ มั่นคง เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอไปตามสิ่งที่มายั่วยวนให้ยินดีหรือยินร้ายหรือลังเลใจก็ตาม
๓. อ่อนโยน คือจะควบคุมได้ง่าย จะให้คิดเรื่องอะไรก็ได้ เพราะไม่ดื้อรั้นเอาแต่ใจเหมือนตอนถูกกิเลสครอบงำ รวมทั้งจะมีสติที่สมบูรณ์อีกด้วย
เมื่อจิตบริสุทธิจากกิเลส ก็เท่ากับขณะนั้นจิตหลุดพ้นจากกิเลสจิตก็จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อจิตไม่เป็นทุกข์มันก็ย่อมที่จะสงบเย็น ดังนั้นสมาธิจึงมีผลดีหรือมีประโยชน์อย่างยิ่งตรงที่มันช่วยดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันได้ตราบเท่าที่จิตยังมีสมาธิอยู่ และยังมีของแถมก็คือเมื่อจิตมีสมาธิมันก็จะมีความสุขที่สงบเกิดขึ้นมาด้วยเสมอ ซึ่งความสุขที่สงบนี้จะเหนือความสุขจากเรื่องกามารมณ์จนทำให้ผู้ที่มีสมาธิจะไม่ติดใจในกามสุขได้
สมาธิจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? จิตจะเกิดสมาธิได้ จิตจะต้องตั้งใจเพ่ง(หรือจดจ่อ)อยู่แต่ในสิ่งที่เพ่งนั้นได้นานๆ ซึ่งการที่จะให้จิตเพ่งอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานๆนั้น สิ่งที่เพ่งนั้นจะต้องเพ่งแล้วเกิดความสุขที่สงบ ถ้าเพ่งแล้วไม่เกิดความสุขที่สงบ หรือเพ่งแล้วเกิดความทุกข์ จิตก็จะไม่เกิดสมาธิ
แล้วอะไรคือสิ่งที่เพ่งแล้วทำให้จิตเกิดความสุขที่สงบ? ซึ่งคำตอบก็คือ “สิ่งที่ดีงามและจิตชอบ” ซึ่งสิ่งที่ดีงามก็คือสิ่งเกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น รวมทั้งไม่เป็นโทษด้วย ส่วนสิ่งที่จิตชอบนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าจิตของใครจะชอบอะไร ถ้าใครชอบอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ให้เลือกเพ่งสิ่งนั้นจิตจึงจะเกิดสมาธิได้ง่าย แต่ถ้าให้ไปเพ่งสิ่งที่แม้จะเป็นประโยชน์ แต่ว่าจิตไม่ชอบมันก็เป็นสมาธิได้ยาก เพราะมันฝืนจิตใจ ซึ่งนี่คือเคล็ดลับของการฝึกให้จิตเกิดสมาธิได้ง่ายและเร็ว
บางคนชอบการอ่านหนังสือ ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบการเรียน ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบการเขียนก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบคิดค้น ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบพูด ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ บางคนชอบทำงาน ก็ทำให้เกิดสมาธิได้ คือใครชอบอะไรที่ไม่เป็นโทษและเป็นประโยชน์ก็เอาสิ่งนั้นมาตั้งใจกำหนดรู้หรือเพ่งให้ต่อเนื่อง คือทำให้ติดต่อกันเป็นสายไม่ขาดตอนตลอดเวลา ก็จะทำให้การกำหนดรู้หรือเพ่งนั้นทำให้จิตเกิดสมาธิขึ้นมาได้โดยง่าย
เด็กสมัยนี้ส่วนมากมีสมาธิสั้นก็เพราะเขาไม่ได้รับการฝึกให้คิด หรือพูด หรือทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์และเขาชอบมาก่อนอย่างเพียงพอ เราปล่อยให้เด็กเล่นสนุกตามใจชอบอย่างไร้สาระมากเกินไป จนเด็กเคยชินและติดจนกลายเป็นนิสัยที่เลิกหรือเปลี่ยนแปลงได้ยากไปในที่สุด และเมื่อมีสมาธิสั้น มันก็ส่งผลถึงการเรียนและพฤติกรรมของเด็ก แล้วก็สร้างปัญหาให้กับตัวเด็กเองและสังคมไปในที่สุด แต่ถ้าเราจะมาสนใจฝึกให้เด็กมีสมาธิกันตั้งแต่ยังเล็กๆอย่างถูกต้อง ต่อไปเด็กก็จะโตขึ้นเป็นเด็กที่มีสมาธิมากและก็จะส่งผลทำให้เป็นเด็กที่เรียนเก่งและเป็นคนดีของสังคมได้โดยง่าย
ถ้าเราจะฝึกสมาธิหรือจะฝึกให้เด็กมีสมาธิ เราก็ต้องหาอะไรที่ดีงามหรือเป็นประโยชน์และเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกชอบด้วยมาฝึกทำด้วยความตั้งใจ ซึ่งก็อาจจะเป็นการเล่นเกมส์อะไรที่ใช้ความคิด หรือการเล่นอะไรที่ต้องใช้สมอง หรือแม้การฝึกให้เด็กแสดงออก เช่นการพูด การร้องเพลง การเขียน การวาดรูป การปลูกต้นไม้ การประดิษฐ์คิดค้น เป็นต้น หรือแม้การฝึกให้เด็กได้ทำงานที่เด็กพอจะทำได้ก็ซึ่งถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องฝึกกันมาตั้งแต่เด็กยังเล็กเลยจะดีที่สุด เพราะเมื่อจิตของเด็กยังว่างอยู่ ถ้าจิตของเด็กจะได้รับอะไรมาในครั้งแรก จิตของเด็กก็จะรับเอาสิ่งนั้นมาพัฒนาให้เจริญงอกงามจนเต็มจิตใจ และยากที่สิ่งอื่นที่ตรงข้ามจะเจริญขึ้นมาแทนที่ได้
การฝึกพูดหรือบรรยายนับเป็นการฝึกที่สมาธิที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะการพูดนั้นก็ต้องใช้สมาธิในการพูดมากและยังต้องใช้ความรู้จากการอ่านมา หรือฟังมา หรือคิดมาเพื่อมาใช้พูดอีก การพูดจึงนับเป็นการฝึกสมาธิที่ดีอย่างมากที่ทุกคนควรฝึกพูดให้ได้ เพราะเป็นทั้งการฝึกสมาธิและสร้างปัญญาไปพร้อมกัน เราจึงควรส่งเสริมให้เด็กฝึกพูดเพื่อเสริมสร้างสมาธิและปัญญาให้กับเด็กด้วยอีกวิธีหนึ่ง
การฝึกสมาธิที่สอนให้นั่งหลับตาและกำหนดลมหายใจพร้อมทั้งให้หยุดความคิดนั้นเป็นการฝึกที่ยาก เพราะจิตมันไม่ชอบให้บังคับมัน มันจะรู้สึกทรมานหรืออึดอัดมากเมื่อถูกบังคับให้ขาดอิสรภาพ มันจึงมักจะยิ่งฟุ้งซ่านหนักเข้าไปอีก จนผู้ฝึกท้อถอยเอาได้ง่ายๆ ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก คือต้องอดทนฝึกไปนานๆจิตจึงจะอ่อนลงและเกิดสมาธิขึ้นมาได้ การฝึกเช่นนี้จึงไม่ค่อยจะได้ผลคือทั้งไม่เกิดสมาธิและผู้คนเบื่อหน่ายไม่สนใจจะฝึก
สำหรับผู้ที่ทนฝึกสมาธิวิธีเก่าๆมาจนท้อแท้แล้วก็มาลองใช้วิธีการฝึกพูดหรือบรรยายความรู้ที่ตนเองมีให้คนอื่นฟังดู โดยอาจจะฝึกพูดคนเดียวแต่ก็พูดให้เหมือนกับว่ามีคนจำนวนมากฟังอยู่จริงๆก็ได้ ซึ่งการพูดก็ต้องตั้งใจพูดอย่างที่สุด และพูดช้าๆด้วยประโยคสั้นๆ โดยอาจจะพูดเฉพาะขณะที่หายใจออก แต่พอหายใจเข้าจะหยุดพูดก็ได้ (ถ้าพูดเร็วและติดต่อกันอาจจะทำให้เสียสมาธิได้ง่ายถ้ายังไม่ชำนาญ) ถ้าฝึกพูดคนเดียวได้สักพักจิตก็จะสงบ ตั้งมั่น เบาสบาย สดชื่น แจ่มใส เย็นใจ และมีความอิ่มเอมใจรวมทั้งมีความสุขที่ประณีตเกิดขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นแสดงว่าจิตเกิดสมาธิขั้นต้นขึ้นมาแล้วอย่างแท้จริง และถ้าฝึกต่อไปเรื่อยๆจิตก็จะเกิดสมาธิที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆของมันเอง (คือจิตจะสงบตั้งมั่นมากขึ้น โดยความอิ่มเอมใจกับความสุขที่ประณีตก็จะค่อยๆหายไป จะเหลืออยู่แต่จิตที่ตั้งมั่นอยู่กับความสงบเย็นเท่านั้น) ส่วนอิริยาบถในการฝึกนั้นอาจจะเดินไปพูดไป หรือนั่งหรือยืนพูดก็ได้ตามสะดวก
สำหรับนักวิปัสสนานั้นเรื่องที่ใช้พูดก็ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการดับทุกข์ คือเรื่องอนิจจัง(ความไม่เที่ยง) ทุกขัง(สภาพที่ต้องทนอยู่)และอนัตตา(สภาวะที่ไม่มีตัวตนที่แท้จริง) ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า ลองทำดูแล้วจะพบว่านอกจากจะทำให้จิตเกิดสมาธิได้ง่ายแล้วยังทำให้เกิดปัญญาแตกฉานขึ้นอีกด้วย (แต่การพูดคนเดียวก็ต้องระวังว่าถ้ามีคนอื่นมาพบเข้าเขาก็จะหาว่าเราบ้าเอาได้ แต่ก็อย่าไปสนใจเพราะคนบ้าจะมีสุขบ้างทุกข์บ้าง แต่เรามีแต่ความสุข ดังนั้นคนที่มาว่าเราบ้านั่นเองที่กลับเป็นคนบ้าเสียเอง)
พื้นฐานสำคัญของการฝึกสมาธิก็คือ ต้องมีศีล ซึ่งศีลก็คือการเป็นคนดีทั้งทางกายและวาจา คือ ไม่เบียดเบียนชีวิตและทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดในเรื่องกามารมณ์ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียดหรือยุยงให้แตกความสามัคคี และไม่พูดเรื่องเพ้อเจ้อไร้สาระ ถ้าใครปรกติเป็นคนดีอยู่แล้วก็ฝึกให้เกิดสมาธิได้ง่าย ส่วนใครที่ปรกติไม่ค่อยจะมีศีลก็หันมาตั้งในรักษาศีลเอาเองได้
ส่วนนักวิปัสสนานั้นจำเป็นที่จะต้องมีปัญญามาเป็นพื้นฐานอีกด้วย ซึ่งปัญญาก็คือความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ถ้าใครมีความรู้นี้อย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถเอาเรื่องอริยสัจ ๔ นี้มาฝึกคิด หรือฝึกพูดให้เกิดสมาธิได้ทันที แต่ถ้าใครยังไม่มีความรู้เรื่องอริยสัจ ๔ นี้อย่างถูกต้อง ก็ต้องไปศึกษามาก่อนให้เข้าใจ (สามารถศึกษาได้จาก www.whatami.8m.com หรือ www.whatami.5u.com )
การฝึกสมาธินี้จะต้องหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ คือเราสามารถปฏิบัติหรือฝึกสมาธิไปพร้อมๆกับการเรียน หรือการทำหน้าที่การงานของเราได้ตลอดเวลาถ้าชำนาญแล้ว แต่ถ้ายังไม่ชำนาญก็ต้องหาสถานที่และเวลาเพื่อฝึกฝนก่อน เมื่อชำนาญแล้วก็สามารถปฏิบัติกิจวัตรของเราไปพร้อมๆกับมีสมาธิไปด้วยได้ แล้วก็มีความสุขสงบและความสงบเย็นพร้อมกับไม่มีทุกข์ไปด้วย

สามารถศึกษาได้จาก www.whatami.8m.com หรือ www.whatami.5u.com

การอยู่อย่างพอเพียง

หัวใจของโครงการ คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งเป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส ชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ

"เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน "ทางสายกลาง" โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์

"เศรษฐกิจพอเพียง"หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญาและความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี



Reservation Hotels Booking Online Holiday Travel Hotels Review Online Reservation Thaliand
® Powered by KSSN~PK[V] Corporation. การอยู่ อย่าง พอเพียง SEO : Search Engine Optimization . Copyright © 2008 URL Thailand. All rights reserved

การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์

นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้


นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น

ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว

1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ

3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด

หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ


จาก www.teenee.com